วิธีการดูแลสุขภาพปากและสุขภาพฟันของเด็กอย่างง่ายๆ

วิธีการดูแลสุขภาพปากและสุขภาพฟันของเด็กอย่างง่ายๆ

               ถ้าในกรณีลูกหลานเกิดอาการปวดฟันขึ้นมา  พวกคนเฒ่าคนแก่ก็จะบอกว่าให้อมเกลือซิ แต่นอกจากวิธีขั้นเบสิกนี้แล้ว ก็ยังมีอีกหลายหนทางที่จะทำให้ผู้ปกครองไม่ต้องเสียสตางค์มากเกินเหตุกับเรื่องของฟันคุณหนูๆ วันนี้ เราเลยมีวิธีการดูแลสุขภาพปากและสุขภาพฟันอย่างง่ายๆ  เพื่อช่วยลดความรุนแรงของผลเสียที่จะเกิดขึ้น และยังช่วยลดความเจ็บปวดและความกลัวของเด็กได้เป็นอย่างดี เด็กปวดฟัน การปวดฟันในวัยเด็กมักมีสาเหตุมาจากฟันผุและไม่ได้ไปรับการรักษาเด็กอาจร้องปวดเวลาทานอาหาร หรือร้องปวดใน
เวลากลางคืนถ้าเด็กร้องปวดในขณะที่กำลังทานอาหาร ควรให้เด็กบ้วนปากด้วยน้ำอุ่นและค่อยๆ เขี่ยเศษอาหารที่ติดอยู่บนตัวฟันออก หรือใช้ไหมขัดฟันในกรณีที่เศษอาหารติดตามซอกฟัน แต่ถ้าเด็กร้องปวดในเวลากลางคืน ให้ เด็กทานยาแก้ปวดและรีบพาไปพบคุณหมอในวันรุ่งขึ้น ถ้าเด็กมีอาการบวมให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำแข็งประคบที่แก้มและรีบไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุด เด็กกัดปากตัวเอง เด็กเล็กๆ มักจะมีปัญหากัดปาก หรือลิ้นตัวเองหลังถูกฉีดยาชา ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และเตือนไม่ให้กัดปากจนกว่าจะหายชา แต่ถ้าเด็กกัดปากหรือลิ้นจนเป็นแผลควรพบคุณหมอโดยเร็ว ฟันหลุดออกจากเบ้าหากหลุดออกจากเบ้าฟัน ให้ล้างฟันที่หลุดด้วยนำประปาโดยให้น้ำไหลผ่านฟันอย่างช้าๆเมื่อฟันสะอาดให้จับที่ตัวฟัน แล้วใส่ฟันกลับเข้าไปในเบ้าฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จากนั้นให้เด็กกัดฟันซี่นั้นด้วยผ้าก็อชแล้วรีบพาเด็กไปพบคุณหมอโดยด่วนหากสามารถใส่กลับเข้าไปในตำแหน่งที่ถูกต้อง ภายใน 20-30 นาที ฟันซี่นั้นจะมีโอกาสกลับเป็นปกติได้มากแต่ถ้าไม่สามารถจับฟันเข้าที่เดิมได้ ให้แช่ฟันนั้นในน้ำเย็นหรือน้ำนม (ห้ามใช้นมเปรี้ยวหรือนมผง) แล้วรีบพบคุณหมอโดยด่วน กรณีที่บาดแผลฉีกขาด ให้ใช้ผ้าก็อชหรือผ้าที่สะอาดกดลงตรงบริเวณที่แผล และใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือ น้ำแข็ง ประคบบริเวณแผลเพื่อป้องกันการบวม (ถ้าเลือดยังออกไม่หยุดให้พาเด็กส่งโรงพยาบาลด่วน) เด็กขากรรไกรหักหากคุณสงสัยว่าขากรรไกรหักจาการล้มกระแทกบริเวณใบหน้า หรือประสบเหตุอย่างรุนแรงควรให้การรักษาขั้นพื้นฐาน โดยป้องกันการขยับของขากรรไกรล่างพันพาดมาที่ศีรษะและรัดให้แน่น

ระวังอย่าหลงเชื่อร้านค้าออนไลน์ “ติดเหล็กจัดฟันเอง” พังทั้งปาก

ขณะเดียวกันมีเพจร้านจำหน่ายลวดดัดฟันแฟชั่นในโซเซียลมีเดีย จำนวนหลายร้านในปัจจุบัน มีการโฆษณาชวนเชื่อว่า ลูกค้าสามารถซื้ออุปกรณ์ไปจัดฟันเองที่บ้านได้ โดยไม่ต้องพึ่งทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไป และกล่าวอ้างว่าได้บอกข้อควรระวังแก่ลูกค้าทุกคนอย่างรอบคอบ

ทว่า ไม่มีใครทราบว่าหลังจากจัดฟันแฟชชั่นไปแล้วเวลาแรมปี จะต้องเดินเข้าคลินิก ทันตกรรมเพื่อพบทันตแพทย์ตัวจริง ให้ช่วยแก้สภาพฟันที่มีปัยหาจากการใส่ลวดจัดฟันแฟชชั่น
การที่จะจัดฟันด้วยตัวเอง  เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทันตแพทย์จัดฟันต้องมีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ของช่องปากและฟัน ซึ่งเป็นเรื่องของโครงสร้างในช่องปาก กระดูกขากรรไกรและฟัน ต้องรู้ว่าการเคลื่อนฟันโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายจะทำได้อย่างไร ฯลฯ เนื่องจากสภาพความผิดปกติของการสบฟันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องใช้วิธีการและเครื่องมือจัดฟันที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่ผู้รับจัดฟันแฟชชั่นไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย ต่อให้ใช้เครื่องมือจัดฟันที่ถูกต้อง ไม่มีสารพิษเจือปน มีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง การติดตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง และแม้ติดตรงตำแหน่งที่ถูกต้องก็ยังมีอันตรายจากกรดทาเนื้อฟันก่อนการติดเครื่องมือจัดฟันเข้ากับตัวฟัน ซึ่งต้องเป็นกรดที่สามารถใช้ในช่องปากได้โดยไม่มีอันตราย ต้องทานานแค่ไหนจึงจะไม่เกิดอันตราย กาวที่นำมาใช้ติด เพราะมีโอกาสเกิดอันตรายได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะลวดและยางที่มาใช้เคลื่อนฟัน ลวดจะทำให้เกิดแรงที่ไม่เท่ากัน ต้องใช้ในขั้นตอนที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงยางด้วย ทุกอย่างทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เราไม่ต้องการและทำให้เกิดอันตรายในการเคลื่อนฟันได้ ซึ่งต้องรู้วิธีป้องกัน”
       รศ.(พิเศษ) ทพญ.สมใจอธิบายต่อว่า การนำโลหะ ลวด และยางสีๆ ไปติดกับฟัน จะทำให้เกิดแรงเคลื่อนฟันขึ้น แต่ถ้าไม่รู้หลักการควบคุมที่ถูกต้อง เราจะไม่รู้ว่าฟันจะเคลื่อนไปทางไหน ส่งผลให้เคลื่อนกระจัดกระจายอย่างไม่มีทิศทาง เหมือนภาพถ่ายฟันที่เกิดปัญหาหลังจากมีการจัดฟันแฟชชั่น ซึ่งถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต  
อย่างไรก็ตามโรคพวกจะนี้ไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆเลยถ้าเพื่อนๆไม่ไปคิดอยากจะ ตามแฟชั่น ด้วยการที่ไปซื้อ เหล็กจัดฟัน มาทำเองโดยที่ไม่ได้มาตรฐาน ผมเชื่อว่ายังมี แฟชั่น อีกหลายๆอย่างที่เพื่อนๆสามารถทำแล้วไม่ส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต ของเพื่อนๆนะครับ ^^

การทำฟันปลอมแบบถอดได้

สุขภาพฟัน

     การทำฟันปลอมแบบถอดได้เป็นการแทนที่ฟันที่หายไปประเภทหนึ่งโดยสามารถทำฐานในการยึดได้จากทั้งอะคลิลิกและโลหะ ฟันปลอมถอดได้ทั้งชิ้นจะทำเพื่อทดแทนในกรณีที่ไม่มีฟันเหลืออยู่เลย ส่วนการทำฟันปลอมถอดได้เฉพาะซี่เป็นการใส่เพื่อ ช่วยไม่ให้ฟันซี่ที่เหลือล้มเปลี่ยนตำแหน่ง 

ผลที่ได้รับจากการทำฟันปลอมถอดได้ 

• ฟันปลอมถอดได้ในปัจจุบันจะดูเป็นธรรมชาติและใส่ได้พอดีมากขึ้น 
• ฟันปลอมแบบนี้สามารถทำได้ทั้งชิ้นเพื่อช่วยในการใช้งานที่ดีขึ้น 
• การใส่ฟันปลอมช่วยให้รับประทานอาหารและพูดคุยได้ดี
• จะมีความมั่นใจในการยิ้มมากขึ้น

ประเภทของฟันปลอม

     ฟันปลอมถอดได้เฉพาะซี่ เป็นการเติมฟันบางซี่ที่หายไปลงบนชิ้นงานแล้วนำไปใส่โดย ที่มีฟันบางซี่เป็นฟันธรรมชาติ การทำฟันชนิดนี้อาจจะมีตัวล็อคเป็นโลหะเกาะที่ตัวฟัน

ฟันปลอมแบบนี้แบ่งออกได้ ดังนี้

• ฟันปลอมถอดได้ฐานอะคลิลิก: ทำจากวัสดุพลาสติก ในบางครั้งรู้จักกันแบบฟันปลอมถอดได้แบบทันที

• ฟันปลอมถอดได้ฐานโลหะ: มีส่วนที่ใช้ยึดฟันเป็นแบบโลหะเพื่อความแข็งแรง


  ฟันปลอมถอดได้ทั้งชิ้น เป็นการทำฟันปลอมทั้งชิ้นโดยที่ชิ้นงานจะต้องยึดกับเหงือก ได้เป็นอย่างดี ฟันปลอมแบบนี้จะนิยมทำด้วยอะคลิลิกหรือพลาสติก อาจมีการ เติมชิ้นส่วนโลหะที่บริเวณกรอบฟันเพื่อเพิ่มความแข็งแรง



  การทำฟันปลอมบนรากเทียม จะมีลักษณะใกล้เคียงกับฟันปลอมแบบถอดได้ทั้งชิ้น แต่การทำแบบนี้จะนิยมทำเพื่อยึดกับรากเทียม ทั้ง 2 ชนิดมีข้อแตกต่างในการใช้งานต่างกัน เพราะฟันที่อยู่บนรากเทียมจะมีความแข็งแรง,ไม่หลุดง่าย,ใช้งานได้ดี  เนื่องจากมีรากเทียมเป็นตัวช่วยยึดฟัน และสามารถทำฟันปลอมให้เล็กลง ทำให้สวมใส่สบายและพูดชัดเจนขึ้น

การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากที่ดี

การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากที่ดี
การที่ฟันเราดูแลขาวสะอาดเป็นธรรมชาติไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหงือกสีชมพู ไม่เจ็บหรือมีเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือขัดฟัน ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก ทำให้กล้ายิ้มและพูดได้อย่างมั่นใจ
การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากที่ดี
การดูแลสุขภาพช่องปากที่คุณก็ทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ฟันแลดูมีสุขภาพที่ดีควรดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
1. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไข่ นม เนื้อสัตว์ ข้าวซ้อมมือ ผักและผลไม้เพื่อเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
2. ควรแปรงฟันให้ถูกวิธี อย่างสะอาดทั่วทั้งปาก ทุกครั้งหลังการทานอาหาร ควรแปรงทุกเช้าและก่อนนอนทุกวันนะค่ะ
3. ควรใช้ไหมขัดฟันกำจักคราบจุลินทรีย์ระหว่างซี่ฟัน (ซอกฟัน) ขอคำแนะนำวิธีใช้ไหมขัดฟันได้จากทันตแพทย์
4. การตรวจฟันด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูความสะอาดของเหงือกและฟัน ภายหลังการแปรงฟันให้สังเกตดูความผิดปกติของเหงือกและฟันด้วยนะค่ะ
5. ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพของช่องปาก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุกๆ 6 เดือน เพื่อสุขภาพฟันที่แข็งแรงด้วยนะค่ะ 

และการแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้ออาจจะไม่ได้แปลว่าส่งผลดีต่อสุขภาพฟันเสมอไป หากมื้อนั้นคุณรับประทานอาหารที่มีกรดสูง เช่น ไวน์ ชา กาแฟ น้ำอัดลมหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ทั้งนี้เพราะอาหารที่มีกรดสูงเมื่อเรารับประทานเข้าไป กรดของมันจะเข้าไปทำลายเคลือบฟันมากอยู่แล้วหากยิ่งไปขัดถูแปรงฟันเข้าอีก เคลือบฟันก็จะยิ่งสึกกร่อนและถูกทำลายมากเข้าไปใหญ่ฉะนั้นแนะนำว่า หลังทานอาหารที่มีกรดสูงเข้าไปให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าไปก่อนจากนั้นรอสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟันเช่นนั้นจะส่งผลดีต่อสุขภาพฟัน

อันตรายจากการดัดฟันแฟชั่น

อันตรายจากการดัดฟันแฟชั่น
การจัดฟันแฟชั่นไม่ใฃ่การรักษาทางทันตกรรม แต่เป็นเพียงการพยายามใส่เครื่องมือที่เลียนแบบการจัดฟันแบบติดแน่นที่ทันตแพทย์ใช้ในการรักษาผู้ป่วย โดยมีจุดประสงค์เพื่อความสวยงาม โก๋เก๋ ทันสมัย และที่สำคัญนั้นผู้ที่ให้บริการนั้นไม่ใช้ทันตแพทย์จึงทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมา
อันตรายของการดัดฟันแฟชั่น
จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นของเด็กนักเรียนหญิง ม.5 จ.ขอนแก่น ที่มีข่าวเกี่ยวกับการดัดฟันแฟชั่นจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับวัยรุ่นทั้งหลายได้ตระหนักกันถึงอันตรายของความสวยงาม โก๋เก๋ที่อาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิต

ดังนั้นทางด้าน ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล หัวหน้าภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปกติการจัดฟันจะเป็นการแก้ไขความผิดปกติของการเรียงตัวของฟัน เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันบนล่างไม่สบกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการบดเคี้ยวอาหาร สุขภาพของฟัน รวมทั้งเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน และยังช่วยปรับให้รูปลักษณะใบหน้าและการยิ้มดูดีขึ้นผู้ให้การรักษาจะต้องเป็นทันตแพทย์เท่านั้น

อันตรายจากการดัดฟันแฟชั่น
การดัดฟันแฟชั่น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.ลวดร้อยลูกปัด เป็นการใช้ลวดเส้นเล็กๆ ร้อยลูกปัดสีต่างๆ มีวางจำหน่ายในตลาดนัดและแหล่งชุมชนต่างๆ ราคาเส้นละ 50-120 บาท เด็กและวัยรุ่นนิยมซื้อมาใช้เอง
2.การดัดฟันแฟชั่นแบบติดแน่น เป็นการเลียนแบบการจัดฟันของทันตแพทย์ให้เหมือนมากขึ้น โดยจะมีการติดเครื่องมือแบ๊กเกตเป็นโลหะรูปสี่เหลี่ยมที่มีร่องใส่ลวดจัดฟันและมีส่วนยื่นออกมาสำหรับคล้องยาง สามารถเลือกสีของยาง รูปร่างของยาง เช่น รูปดอกไม้ มิกกี้เม้าส์
3.การดัดฟันแฟชั่นแบบถอดได้ เป็นการใช้เครื่องมือคงสภาพฟันหรือรีเทนเนอร์ที่เหมือนกับทันตแพทย์ใช้ จะมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกปิดอยู่ที่เพดาน หรือข้างลิ้น มีลวดลายคอยบังคับฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการมีการดัดแปลงเพิ่มแบ๊กเกตให้ติดอยู่บนลวด ขั้นตอนการทำจะต้องมีการพิมพ์ฟันสามารถเลือกสี ลายของแผ่น พลาสติก และลวดได้

1.อันตรายจากขั้นตอนการดัดฟัน เครื่องมือที่ใช้ เช่น ถาดพิมพ์ฟันใช้แล้วไม่ได้ล้าง หรือล้างแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรคที่มาจากน้ำลายของผู้ใช้บริการคนก่อน ผู้ทำไม่ได้สวมถุงมือ อาจติดโรคต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ โปลิโอ
2.อันตรายจากวัสดุอุปกรณ์การดัดฟัน ลวดจัดฟันแฟชั่นที่ใช้คุณภาพต่ำมีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม และสารหนู หากสะสมในร่างกายมากๆ จะเป็นอันตรายต่อไตทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ของเซลล์ตาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้การใช้ลวดที่เป็นสีเมื่อใส่ไว้ในปากสักระยะหนึ่ง มีการสัมผัสอาหารของเย็นของร้อนแล้วสีจางลงส่วนประกอบของสีจะเข้าสู่ร่างกาย ผ่านเข้ากระเพาะอาหารและดูดซึมไปสะสมไว้ในร่างกายเป็นการสะสมสารพิษไว้ในร่างกาย
3.อันตรายต่อสุขภาพฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก ซึ่งขั้นตอนการทำจะมีการใช้หัวกรอ กรอเอาเคลือบฟันที่ดีออกไปรวมทั้งใช้กรดกัดฟัน ซึ่งจะทำให้เคลื่อนฟันบางลง ทำให้ความแข็งแรงของฟันลดลง ทำให้เสียวฟันได้ง่าย
4.อันตรายจากการปรับแต่งลวด โดยผู้ที่ไม่มีความรู้จะทำให้เกิดแรงกดไปที่ตัวฟัน และทำฟันเคลื่อนไปจากเดิมทำให้มีอาการปวดฟันมากอาจทำให้ฟันซี่นั้นกลายเป็นฟันตายรากฟันละลาย อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งไป เครื่องมืออาจหลุดลงคอหรือหลอดลม ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้การใส่เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นมักทำให้เกิดการบาดกระพุ้งแก้ม หรือเนื้อเยื่อในช่องปากกลายเป็นแผลเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเนื้อเยื่อในช่องปากอีกทั้งเครื่องมือที่ใส่ในปากจะขัดขวางการแปรงฟันและทำความสะอาดฟัน อาจทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ บวมแดง มีกลิ่นปาก

สุดท้ายนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวคงจะเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยวัยรุ่นทั้งหลายนะค่ะ และถ้าหากฟันไม่ได้มีปัญหาก็ไม่ควรไปจัดหรือดัดฟันแฟชั่น เพราะนอกจากจะเสียเงินโดยใช่เหตุแล้ว อาจได้รับอันตรายจากวัสดุจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐานถึงขั้นเสียชีวิตได้

การอุดฟันแบบออนเลย์และอินเลย์


การอุดฟันแบบออนเลย์และอินเลย์


 

อินเลย์ (Inlays) และ ออนเลย์ (Onlays) ใช้ในการอุดฟันกรามที่มีรอยผุขนาดใหญ่มากซึ่งไม่เหมาะกับการอุดฟันวิธีธรรมดา สามารถทำได้จากวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก ทอง และเรซิน ซึงจะทำภายในห้องแลปโดยมีการพิมพ์ฟันก่อน เพื่อทำให้เหมาะกับขนาดของฟันที่แท้จริง รวมถึงมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีความเหมาะสมแตกต่างกัน

การอุดฟันแบบออนเลย์ (Onlays) เป็นการอุดฟันด้านบนของฟัน
การอุดฟันแบบอินเลย์ (Inlays)เป็นการอุดฟันส่วนที่มีขนาดใหญ่  จะมีลักษณะแข็งแรงทนทานมากกว่า  โดยมีการอุดลงไปบริเวณฟันที่ยังคงอยู่  
ประเภทของการอุดฟันแบบ อินเลย์ (Inlays) และ ออนเลย์ (Onlays)
- แบบอินเลย์ (Inlays) และ ออนเลย์ (Onlays) ที่ทำจากวัสดุทอง มีความแข็งแรงและทนทานสูง
- แบบอินเลย์ (Inlays) และ ออนเลย์ (Onlays) ที่ทำจากเซรามิก  ให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติ
- แบบอินเลย์ (Inlays) และ ออนเลย์ (Onlays) ที่ทำจากเรซิน เป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติมากกว่า และมีความแข็งแรงมากกว่าประเภทที่ทำจากเซรามิก
ปัญหา
- ใช้ในการอุดฟันที่มีฟันผุ
- ต้องการความคงทนยาวนาน
- ต้องการเสริมโครงสร้างให้กับฟัน
ขั้นตอนการรักษา
- ทำการกรอฟันส่วนที่ผุออกและทำให้มีรูปร่างที่เหมาะสม
- พิมพ์ฟันเพื่อทำแบบจำลอง
- ทำการส่งแบบฟันจำลองไปยังแลปเพื่อทำ Inlays และ Onlays
- ติดยึด Inlays และ Onlays บนฟัน ตรวจเช็คและปรับแต่งให้เหมาะสมและสวยงาม

ข้อดี:
- การเลือกใช้วัสดุเรซินสามารถเลือกโทนสีและรูปร่างลักษณะให้เหมือนฟันจริงได้ จึงช่วยเพิ่มความสวยงาม รวมถึงมีความแข็งแรงทนทานและมีลักษณะ เหมือนฟันจริงมาก
- ในการเลือกใช้วัสดุทองจะมีความแข็งแรงทนทานมากกว่าวัสดุอื่น
- จะมีความแข็งแรงมาก เนื่องจากมีการออกแบบและผลิตภายในห้องแลป
- สามารถป้องกันการแตกหักของฟันและช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ฟันได้
- มีขนาดที่เหมาะสมและพอดีกับฟันมากที่สุด เนื่องจากมีการพิมพ์แบบจำลองก่อน
- สามารถลดช่องว่างและรอยต่อระหว่าง Inlays และ Onlays และฟันที่มีอยู่ ทำให้ป้องกันการเกิดฟันผุอีก หลังจากอุดฟันแบบ Inlays และ Onlays ไปแล้ว

ข้อเสีย:
มีค่าใช้จ่ายที่สูง เนื่องจากมีการออกแบบและผลิตภายในห้องแลปเพื่อความสมบูรณ์ที่สุด แต่อย่างไรก็ตามการรักษาประเภทนี้มีผลดีต่อสุขภาพฟันและรักษาโครงสร้างฟันได้ในระยะยาว

ทางเลือกอื่น:
ในกรณีที่มีฟันผุขนาดใหญ่มาก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาประเภทการครอบฟัน

ทันตกรรมจัดฟันคืออะไร

ทันตกรรมจัดฟันคืออะไร

ทันตกรรมจัดฟัน คือ สาขาหนึ่งของทันตกรรมซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกับการแก้ไขฟันและขากรรไกรที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ฟันยื่นและฟันที่ขบกันไม่พอดีจะทำให้ยากต่อการทำความสะอาดสุขภาพฟัน และมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียสุขภาพฟันก่อนวัยอันควรเนื่องมาจากฟันผุและโรคเหงือก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการกดทับต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาการปวดที่ข้อต่อขากรรไกร คอ ไหล่ และหลังได้     ฟันที่ยื่นหรือไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ยังทำลายบุคลิกภาพ และเป็นสาเหตุให้สุขภาพฟันเสียอีกด้วย

ประโยชน์ของการทำทันตกรรมจัดฟันนั้นรวมถึงสุขภาพฟันและปาก ที่แข็งแรงขึ้น ลักษณะบุคลิกภาพที่น่าพึงพอใจกว่าเดิม และสุขภาพฟันที่ดีสามารถจะคงทนไปตลอดชีวิต
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ที่สามารถจะทำทันตกรรมจัดฟันได้ต้อง ใช้เวลา 2 ปี หรือมากกว่านั้นในการศึกษาในโปรแกรมที่ได้รับการรับรองจาก American Dental Association (ADA) นอกเหนือจากเวลา 4 ปีในโรงเรียนทันตแพทย์

เหตุผลที่เราต้องการทันตกรรมจัดฟัน
มีเพียงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในด้านการทำทันตกรรมจัดฟันเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินได้ว่าคุณควรจะต้องรับการทำทันตกรรมจัดฟันหรือไม่ จากการวินิจฉัยด้วยประวัติการรักษาทางการแพทย์และทันตกรรม การตรวจใน คลินิกแบบพิมพ์ฟันของคุณ และภาพเอ็กซเรย์ของสุขภาพฟัน

คุณจะต้องรับการทำทันตกรรมจัดฟันหากคุณมีปัญหาต่อไปนี้
1. ฟันบนยื่น =ฟันบนยื่นออกมาข้างหน้ามากจนเกินไป
2. ฟันล่างยื่น=ฟันล่างยื่นออกมาข้างหน้ามากจนเกินไป
3. ฟันกัดคร่อม =ฟันบนไม่สามารถขบได้พอดีกับฟันล่าง มีลักษณะขบแบบไขว้
4. ฟันสบเปิด=เมื่อขบฟันแล้วมีช่องว่างเปิดระหว่างฟันบนกับฟันล่าง
5. ฟันกัดเบี้ยว=จุดศูนย์กลางของฟันบนไม่ตรงกับฟันล่าง
6. ฟันห่าง=มีช่องว่างระหว่างฟันที่เกิดจากฟันหลุดหรือฟันที่ขึ้นไม่เต็ม
7. ฟันซ้อน= ฟันที่ขึ้นมามากเกินไปจนเกทับกัน

การรักษาด้วยการทำทันตกรรมจัดฟันเป็นอย่างไร 
การรักษาด้วยการทำทันตกรรมจัดฟันมีหลายวิธีที่จะช่วยในการจัดฟัน จัดระเบียบกล้ามเนื้อและขากรรไกร โดยมีทั้งที่เป็นแบบติดถาวรและแบบถอดออกได้ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะทำการดัดฟันและขากรรไกรแบบนุ่มนวล ความรุนแรงของปัญหาของคุณจะเป็นตัวตัดสินว่าวิธีการทำทันตกรรมจัดฟันแบบใดที่จะมีประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพฟันมากที่สุด

พาลูกไปทำฟัน

พาลูกไปทำฟัน

       ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองหันมาสนใจดูแลสุขภาพฟันของเด็ก ๆ กันมากขึ้นมาก็จริงอยู่ แต่ยังพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พาลูกไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสันนิษฐานว่าไม่ทราบว่าต้องพาลูกมาพบทันตแพทย์เมื่อใด ถ้าลูกไม่มีอาการปวดฟันจะมาพบทันตแพทย์ได้หรือไม่ และถ้าได้ ทันตแพทย์จะทำอะไรกับลูกของตน ประกอบกับข่าวที่เกิดขึ้นตามสื่อต่างๆในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจที่จะพาลูกไปพบทันตแพทย์ เรามีคำแนะนำแก่คุณพ่อคุณแม่และท่านผู้ปกครองดังนี้

       โดยเริ่มต้นเลยคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นดูแลสุขภาพฟันเด็ก โดยการตรวจดูฟัน ตรวจดูสภาพช่องปากของเด็กอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน และควรพาไปพบทันตแพทย์เมื่ออายุ 1 -2  ปี หรือเมื่อฟันน้ำนมขึ้นครบ 20 ซี่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับคลินิกทันตกรรม ซึ่งผู้ปกครองอาจอธิบายให้เด็กทราบถึงการมาทำฟันว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้ฟันแข็งแรง ฟันไม่ผุ ไม่ปวดฟัน และควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่ฟังดูน่ากลัว เช่น เข็ม แทง ถอนฟัน เจ็บ เป็นต้น

การพาเด็กมาพบทันตแพทย์ที่คลินิกทันตกรรมครั้งแรก เด็กอาจจะร้องให้งอแง ไม่ให้ความร่วมมือ คุณพ่อ คุณแม่ไม่ควรตกใจ อาย หรือดุเพื่อให้เด็กเงียบ เพราะนั่นจะทำให้เด็กยิ่งเกลียดและกลัวการทำฟันมากขึ้น และรู้สึกว่าการทำฟันทำให้เขาถูกดุหรือถูกตี ทั้งนี้การทำฟันครั้งแรก ทันตแพทย์จะทำฟันง่ายๆที่ไม่มีความเจ็บปวด เช่น การขัดฟัน การเคลือบฟลูออไรด์การเอ็กซเรย์ฟัน เป็นต้น แล้วจึงนัดมาทำการรักษาที่ซับซ้อนในภายหลัง  ซึ่งการพาเด็กมาทำฟันในขณะที่เด็กไม่มีฟันผุเลย เด็กมักจะร่วมมือได้ดีและ เข้าใจเหตุผลได้ดีกว่า การพาเด็กมารักษาหลังจากที่มีอาการเกิดขึ้นแล้ว

 กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือในระหว่างทำผูปกครองไม่ควรเข้าไปจัดการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทันตแพทย์ การพูดสอดแทรกกับทันตแพทย์อาจทำให้เด็กสับสน การแสดงสีหน้าท่าทางลุกลนอาจทำให้เด็กเกิดความกังวลและไม่มั่นใจ จนไม่ยอมร่วมมือกับทันตแพทย์ การไม่เข้าไปในห้องทันตกรรมจะช่วยให้เด็กมีพฤติกรรมร่วมมือในการทำฟันดีขึ้น

คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเมื่ออ่านบทความนี้แล้ว ควรที่จะตระหนักถึงการพาเด็กไปพบทันตแพทย์ เพื่อสร้างบรรยากาศความคุ้นเคย และเพื่อให้เด็กสามารถที่จะปรับตัว และให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ดี ในการทำทันตกรรมต่าง ๆ เพื่อสุขภาพปากและฟันของเด็ก ๆ จะได้ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก หรือการขาดเรียนเพราะปวดฟัน จนคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองไม่เป็นอันทำงาน 

คลินิกทำฟันเถื่อน

คลินิกทำฟันเถื่อน

เริ่มแรกหากใครคิดที่จะลองทำทันตกรรมต้องคิดดีๆ และหาข้อมูลมา ๆ อาจจะหาจากคนในครอบครัว หรือเพื่อนๆ คนรู้จัก ว่าเคยทำฟันที่ไหนกันบ้าง ไปทำฟันที่ไหนรู้สึกดี๊ดี คุณหมอน่ารัก และอยากไปที่เดิมอีก โดยมากคนไข้ที่ทำฟันประจำมักจะชอบใจในอัธยาศัยของทันตแพทย์ประจำตัว ประมาณว่า อยากทำฟันกับหมอฟันที่คุยกันฉันมิตรมากกว่าที่จะไปพบหมอฟันที่ไม่คุ้นเคย เมื่อเพื่อนแนะนำก็น่าลองไปทำฟันด้วยมากกว่าไปหาหมอฟันที่ไม่มีใครรู้จักจริงไหมละ ไหนๆ ก็ต้องรักษา ต้องเจ็บตัว ต้องจ่ายตังแล้วนี่นา ดีไม่ดี กลับมาด่าเพื่อนตัวเองทีหลังก็ยังได้ จริงป่ะ ในที่นี้จะเน้นถึงคลินิกทำฟันเดี่ยว ที่รักษาฟันอย่างเดียวและไม่ใช่โพลีคลินิกที่มีเเพทย์รักษาร่างกาย ประจำอยู่ด้วย คลินิกทำฟันปัจจุบันมีเยอะมาก แทบจะกระจายอยู่ทุกซอยก็ว่าได้ และเป็นคลินิกประเภทหนึ่งที่มีคลินิกปลอมเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกทำฟันมาให้เพื่อจะไม่ได้เข้าไปคลินิกเถื่อนกัน

คลินิคทำฟันเถื่อน

             ก่อนก้าวเข้าคลินิกทำฟันแหงนหน้ามองดูป้ายหน้าคลินิกทำฟันซึ่งมักจะอยู่ติดๆ กับป้ายชื่อเฉพาะของแต่ละคลินิกทำฟัน ป้ายนี้เป็นป้ายบังคับติดซึ่งมีพื้นสีขาว ตัวหนังสือสีม่วง แสดงชื่อเฉพาะของสถานพยาบาลและ เลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ป้ายนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ติดตั้งใกล้ๆ ป้ายสารพัดสีของคลินิกทำฟันนั้นๆ ในทุกคลินิกที่ลงทะเบียนเป็นผู้ดำเนินกิจการสถานพยาบาล หากเป็นคลินิกแพทย์ก็จะใช้ตัวอักษรสีเขียวอะไรทำนองนี้นะคะ เมื่อเห็นป้ายคล้ายๆแบบนี้แล้ว เห็นชื่อ เห็นเลขทะเบียนสถานพยาบาลชัดเจน ก็สบายใจได้นิดหน่อย  แล้วเดินก้าวเข้าประตูคลินิกทำฟันได้เลย

             ซึ่งในทุกๆ ปีเจ้าของสถานพยาบาลจะต้องไปต่อทะเบียนสถานพยาบาลโดยนำใบอนุญาตให้ ประกอบกิจการสถานพยาบาล และ ใบอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาล ไปติดต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั้นๆที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ หรือที่กองประกอบโรคศิลป์สำหรับสถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร บางคลินิกก็อาจติดใบอนุญาต ใบนี้ให้เห็นๆ กันไปเลยแต่บางคลินิกก็อาจติดลึกลับหน่อย


             แต่ป้ายที่จำเป็นต้องติดและจำเป็นต้องประกาศก้องให้โลกใบนี้รับรู้ว่า ผู้ใดคือผู้จดทะเบียนสถานประกอบการนี้คือ ป้ายที่จะเห็นหน้าตาทันตแพทย์ผู้จดทะเบียนสถานพยาบาลและเลข ปีพ.ศ. ที่ต่อทะเบียนแล้วอย่างชัดเจนค่ะ ชื่อ และใบอนุญาตเลขที่ ท._xxxx_เป็นข้อมูลสำคัญที่คนไข้ผู้รับการรักษาทันตกรรมควรทราบและจดเอาไว้บ้างละ แม้ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาอาจไม่ใช่ทันตแพทย์เจ้าของคลินิกผู้จดทะเบียน แต่เราจดไว้ก็ไม่เสียหลาย ที่ต้องรู้แน่ๆ คือทันตแพทย์ผู้ที่รักษาฟันให้เราชื่ออะไร มีเลข ท. อะไร (เลขที่ขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลป์จะเป็นการยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทันตแพทย์ที่ได้รับรองตัวจริง) เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองเราต้องทราบว่าเราฝากปากและฟันของเราไว้ให้ใครดูแล ทุกท่านสามารถขอนามบัตรทันตแพทย์ที่ผู้ให้การรักษาจากประชาสัมพันธ์คลินิก ที่ทำบัตรคนไข้ หรือถามหาจากทันตแพทย์โดยตรงได้เลยค่ะ ถ้าไม่ยอมให้ก็น่าสงสัยแล้วล่ะ

             ยังมีป้ายอื่นๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณะสุขออกข้อบังคับมาให้ติดบริเวณคลินิกทันตกรรม เช่น ป้ายใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรม,ป้ายบอกราคาเบื้องต้น,ป้ายคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย,ป้ายห้ามสูบบุหรี่,ป้ายบอกเวลาทำการ วันเปิดปิดของคลินิกทันตกรรม,ป้ายชื่อทันตแพทย์ประจำคลินิกทำฟันดังนั้นก่อนตัดสินใจทำบัตรคนไข้ลอง เมียงมองหาป้ายเหล่านี้ดูอย่างน้อยๆ ก็เป็นข้อบังคับเบื้องต้นทีสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ทุกๆสถานพยาบาลคลินิกทันตกรรมที่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขต้องมีป้ายต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วแสดงไว้ให้เห็นด้านหน้าบริเวณทำบัตรคนไข้ใหม่

ปัญหาทางทันตกรรมมีอะไรบ้างที่วัยรุ่นควรจะรู้


สุขภาพฟันเบื้องต้น

     • การจัดฟัน - วัยรุ่น และวัยก่อนวัยรุ่นหลายๆ คนอาจต้องได้รับการจัดฟันเพื่อแก้ปัญหาฟันยื่นหรือฟันเก และขากรรไกรผิดปกติ ฟันที่ขบกันไม่พอดีจะยากต่อการทำความสะอาด ทำให้เกิดโอกาสหลุดก่อนวัยได้ง่ายขึ้น และเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวอาหาร ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟันจะเป็นคนบอกว่าคุณต้องรับการจัดฟันหรือไม่ และการจัดฟันแบบใดที่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณรับการจัดฟันอยู่ ต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษในการรักษาความสะอาดของฟัน
     • ยางกัดฟัน - ถ้าคุณเล่นกีฬา ยางกัดฟันป็นอุปกรณ์สำคัญในปกป้องรอยยิ้มของคุณ อุปกรณ์ชนิดนี้จะคลุมฟันบน เพื่อให้สามารถปกป้องการแตกหักของฟัน การกัดริมฝีปาก และอันตรายอื่น ๆ ต่อปาก ถ้าคุณรับการทันตกรรมอยู่ หรือใส่อุปกรณ์ถาวรอื่นๆ ที่ขากรรไกรล่าง ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใส่อุปกรณ์เพื่อปกป้องฟันเหล่านั้นเช่นกัน
     • โภชนาการ - โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพปากและสุขภาพฟัน แป้งและน้ำตาลในขนมและเครื่องดื่มหลายๆ ชนิดทำให้เกิดการก่อตัวของคราบแบคทีเรียซึ่งไปทำลายสารเคลือบฟัน ควรจำกัดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาล แต่ละครั้งที่เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาลฟันของเรา จะถูกทำลายโดยกรดเป็นเวลา 20 นาที การรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนทั้ง 5 หมู่จะเป็นผลดีต่อสุขภาพปากและฟันของคุณเป็นอย่างมาก สำหรับอาหารว่าง ควรรับประทานอาหารจำพวกเนยแข็ง ผักสด โยเกิร์ต หรือผลไม้
     • การสูบบุหรี่ - ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือเคี้ยวใบยาสูบก็ไม่ควรจะเริ่ม นอกเหนือจากปัญหาสุขภาพแล้ว การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดคราบบนฟันและเหงือก และกลิ่นปาก ในระยะยาว การเคี้ยวใบยาสูบ การสูบบุหรี่หรือซิการ์จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งปากและเหงือก ถ้าคุณสูบบุหรี่อยู่ ควรแจ้งให้ทันตแพทย์และแพทย์ของคุณทราบ รวมทั้งแจ้งทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับช่องปากของคุณด้วย
     • การเจาะในช่องปาก - แม้ว่าจะเป็นที่นิยมก็ตาม การเจาะในช่องปากสามารถก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เข่น การติดเชื้อ เลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเส้นประสาทถูกทำลาย คุณอาจสำลักจากการที่สิ่งเหล่านั้นหลุดไปติดในลำคอ หรือไปกระทบทำให้ฟันแตกและทำลายเหงือก ถ้าคุณกำลังคิดจะเจาะ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
     • ความผิดปกติในการรับประทาน - ทั้งบูลิเมีย (การรับประทานและอาเจียน) และอโนเร็กเซีย (ความกลัวน้ำหนักเพิ่ม ซึ่งมักจะส่งให้เกิดการอาเจียน) เป็นความผิดปกติที่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อลักษณะของฟัน โดยจะทำลายสารเคลือบฟัน แม้ว่าทันตแพทย์จะสามารถรักษาสารเคลือบฟันที่ถูกทำลายไปได้ แต่ทันตแพทย์ไม่สามารถรักษาปัญหาเรื่องการรับประทานซึ่งอาจเป็นอันตรายถึง ชีวิต โดยอาการเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการแก้ปัญหาทางจิตเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตน เอง และการควบคุมตนเอง ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวการรับประทาน หรือคิดว่าจะมี ควรปรึกษาแพทย์
     ปัญหาทางทันตกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลาของการเป็นวัยรุ่น การเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นจะทำให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นและถูกต้อง






การดูแลสุขภาพฟันของทารก

เราจะดูแลฟันของทารกอย่างไร
     การดูแลปากและฟันที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต แม้กระทั่งก่อนที่ฟันซี่แรกของเด็กจะขึ้น มีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อรูปลักษณ์และสุขภาพในอนาคตของเด็ก อาทิเช่น ยาเตตราซัยคลีน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้อย่างแพร่หลายชนิดหนึ่ง สามารถทำให้เกิดฟันเปลี่ยนสี ด้วยเหตุผลนี้เอง แม่ที่ให้นมลูกและหญิงตั้งครรภ์ในช่วงครึ่งสุดท้ายจึงไม่ควรใช้
     เนื่องจากฟันของเด็กทารกจะขึ้นในช่วงอายุ 6 เดือน การดูแลปากและฟันโดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันจึงยังไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ทารกก็มีความต้องการในการดูแลปากและฟันเป็นพิเศษที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จำ เป็นควรทราบ ซึ่งรวมถึงการป้องกันฟันผุจากขวดนม และการให้ฟลูออไรด์แก่ทารกในปริมาณที่เหมาะสม

ฟันผุจากขวดนมคืออะไร และเราจะสามารถป้องกันได้อย่างไร
     ฟันผุจากขวดนมเกิดจากการที่ฟันของเด็กสัมผัสถูกของเหลวที่มีน้ำตาลบ่อยและ นาน ซึ่งของเหลวนี้รวมถึงนม และน้ำผลไม้ การที่ของเหลวหวานอยู่ในปากเด็กเป็นเวลานานในช่วงเวลาหลับจะนำไปสู่ฟันผุที่ ฟันหน้าทั้งบนและล่าง ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่ควรปล่อยให้เด็กหลับโดยที่มีขวดนมอยู่ในปาก โดยควรจะให้เป็นขวดที่มีน้ำเปล่าหรือจุกนมหลอกแทน ถ้าคุณให้นมลูกด้วยตนเอง ไม่ควรปล่อยให้เด็กดูดนมเป็นเวลาต่อเนื่อง และหลังจากให้นมเสร็จแล้ว ต้องเช็ดฟันและเหงือกของเด็กด้วยผ้าสะอาดที่เปียกหมาดๆ หรือผ้ากอซ

ฟลูออไรด์คืออะไร และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทารกได้รับในปริมาณที่เหมาะสม
     ฟลูออไรด์มีประโยชน์แม้กระทั่งก่อนที่ฟันจะขึ้น โดยฟลูออไรด์นั้นจะช่วยทำให้สารเคลือบฟันแข็งแรงในขณะที่ฟันกำลังก่อตัว ในน้ำประปาของหลายๆ พื้นที่ได้มีการใส่ฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาการของฟันที่ดี ควรติดต่อสำนักงานประปาในเขตของคุณเพื่อสอบถามว่าน้ำประปาของคุณมีการเติม ฟลูออไรด์หรือไม่ ถ้าไม่มีหรือมีในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือกุมารแพทย์เพื่อรับอาหารเสริมฟลูออไรด์สำหรับทารก ถ้าคุณใช้น้ำดื่มบรรจุขวดในการดื่มและทำอาหาร ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ เพราะคุณอาจต้องการอาหารเสริมฟลูออไรด์สำหรับทารกด้วยเช่นกัน