การอุดฟันด้วยเรซิน สีเหมือนฟัน

การอุดฟันด้วยเรซิน สีเหมือนฟัน
           มีหลายคนอาจสงสัยว่าเวลาเราไปอุดฟันนั้นหมอเอาอะไรอุดให้กับเราสีดำบ้างสีเงินบ้างหรืออาจจะเป็นสีใสๆเหมือนฟันบ้าง แต่หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบกันว่าวัสดุเหล่านั้นที่นำมาอุดฟันให้แก่เรานั้นเป็นวัสดุอะไรทำมาจากอะไร แต่เพื่อนๆไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปเพราะในวันนี้เราจะมาอธิบายวัสดุต่างๆที่ใช้ในการอุดฟันอย่างละเอียดให้เพื่อนๆได้รับทราบโดยทั่วกัน งั้นเรามาเริ่มจากรู้ที่มากับการอุดฟันกันเลยดีกว่า

วัสดุอุดฟันในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.วัสดุอุดฟันโดยตรง (Direct Restorative Materials) เป็นวัสดุที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้อุดโพรง หรือรูบนตัวฟัน มีสมบัติเข้ากันได้ทางชีวภาพ (biocompatiblity) การเกิดปฏิกิริยาเคมีของวัสดุขณะแข็งตัวอาจคายความร้อน หรือปล่อยสารอื่นออกมา ซึ่งสิ่งที่ออกมาเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นความร้อน หรือสารเคมีต้องไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อตัวฟัน และคนไข้ 

      1.1 อมัลกัม (Amalgam) เป็นวัสดุอุดฟันรู้จักกันมานาน และนิยมใช้อย่างแพร่หลาย เพราะมีความแข็งแรงสูง มีอายุการใช้งานยาวนานหลายปี และราคาถูก อมัลกัมเป็นโลหะผสมประกอบด้วยปรอทเป็นธาตุหลักประมาณร้อยละ 43-54 และมีโลหะอื่นผสมอยู่ด้วย ได้แก่ เงินประมาณร้อยละ 20-35 ทองแดงประมาณร้อยละ 10 สังกะสีประมาณร้อยละ 2 และดีบุก ด้วยเหตุที่วัสดุเป็นโลหะผสมจึงมีสีแวววาวแบบโลหะ ซึ่งไม่กลมกลืนกับสีเนื้อฟัน
      1.2 คอมโพสิตเรซิน (Composite Resin) เป็นวัสดุผสมระหว่างพลาสติกกับผงแก้ว มีความแข็งแรงสูง ทนทาน สามารถผลิตให้มีสีคล้ายเนื้อฟัน วัสดุมีราคาแพงกว่าอมัลกัม คอมโพสิตอุดฟันสำหรับอุดฟันส่วนมากใช้แสงในการบ่ม (cure) แข็งตัว
      1.3 กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ (Glass ionomer cement) เป็นวัสดุผสมทางทันตกรรมระหว่างแก้วและกรดอินทรีย์ (organic acid) มีสีใกล้เคียงกับสีธรรมชาติของฟัน และมีความโปร่งแสง มีสมบัติในการยึดติดกับเนื้อฟัน และโลหะได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถปลดปล่อยสารฟลูออไรด์เพื่อช่วยป้องกันฟันผุ การแข็งตัวของวัสดุเกิดจากการทำปฏิกิริยาเคมีของกรดและด่างของสาร ไม่ต้องฉายแสง 
และการก่อตัวเป็นซีเมนต์ทำโดยการผสมส่วนของเหลว และส่วนของผงแก้ว (กลาสไอโอโนเมอร์) ซึ่งปฏิกิริยาเคมีที่เกิดเป็นปฏิกิริยากรด-ด่าง ระหว่างกรดคาร์บอกซิลิกของโพลิเมอร์ในส่วนของของเหลวกับผงแก้วที่มีสมบัติด่าง
      1.4 เรซินมอดิฟายด์กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์  วัสดุผสมระหว่างแก้ว กรดอินทรีย์ (organic acid) และอุดฟันโพลิเมอร์ (resin polymer) ที่แข็งตัวได้เมื่อฉายแสงลงไป โดยทั่วไปวัสดุมีสีคล้ายเนื้อฟันมากกว่ากลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ วัสดุชนิดนี้มีราคาใกล้เคียงกับคอมโพสิตอุดฟัน
      1.5 คอมโพเมอร์ (Compomer) วัสดุอุดฟันที่ได้จากการนำคอมโพสิตกับกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์มารวมกัน หรือโพลิแอซิดโมดิฟายด์อุดฟันคอมโพสิต (polyacid-modified resin composite) มีสีคล้ายเนื้อฟัน และสามารถปลดปล่อยฟลูออไรด์ออกมา แต่ไม่สามารถเติมฟลูออไรด์เข้าไปใหม่เหมือนกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ได้ 

2.วัสดุอุดฟันโดยอ้อม (Indirect Restorative Materials) เป็นวัสดุที่ถูกเตรียมหรือขึ้นรูปสำเร็จจากภายนอก ก่อนนำไปใส่ (อุด) บนตัวฟันหรือตำแหน่งฟันเดิมที่ทันตแพทย์เตรียมไว้ล่วงหน้า ได้แก่ 

      2.1 ทองคำ (Gold) เป็นโลหะบูรณะฟันอีกชนิดหนึ่งที่มีประวัติการใช้งานยาวนานมาก ด้วยเหตุที่เป็นโลหะมีความทนทานสูง 

      2.2 
พอร์ซเลน (Porcelain) เป็นวัสดุเซรามิกมีความแข็ง และเปราะมาก จึงมีผลให้ฟันคู่สบ (opposing teeth) เกิดการสึกหรอได้ง่าย ทั้งนี้ทันตแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้พอร์ซเลนอุดฟันโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันบดเคี้ยวอย่าง ฟันกราม(durability) ทนสึกกร่อน (wear) ได้ดี และไม่ทำให้ฟันคู่สบสึกด้วย แต่เนื่องจากโลหะมีสมบัตินำความร้อนและความเย็น ดังนั้นจึงอาจก่อให้เกิดความระคายเคือง ปัจจุบันการใช้ทองคำเป็นวัสดุบูรณะฟันลดปริมาณลงมาก เพราะวัสดุชนิดอื่นให้ความสวยงามคล้ายฟันจริงมากกว่า นอกจากนี้ทองคำยังมีราคาแพง แม้จะมีอายุการใช้งานยาวนานก็ตาม
      2.3 วัสดุอื่นๆ นอกเหนือจากวัสดุ 2 ชนิดข้างต้นแล้ว ยังมีการใช้วัสดุอุดฟันที่ทำจากวัสดุอื่นอีกหลายชนิด เช่น แพลตินัม (Platinum) โลหะผสมของดีบุกกับเหล็ก โลหะผสมของตะกั่วกับทังสเตน (Tungsten) เป็นต้น

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับสุขภาพปากและสุขภาพฟัน






1. มารู้จักฟันกันหน่อย
          
         ฟันเป็นอวัยวะที่พิเศษสามารถเจริญเติบโตมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก (Ectoderm) เช่นเดียวกับผิวหนังหรือเกร็ดของปลา ฟันมี 2 ชุดคือฟันแท้และฟันน้ำนมซึ่งมีโครงสร้างคล้ายๆ กันดังนี้

           ชั้นเคลือบฟัน (Enamel) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดและมีความแข็งที่สุดของฟัน ทำหน้าที่รับน้ำหนักในการบดเคี้ยว มีโครงสร้างเป็นผลึก ไม่มีเส้นเลือดและเส้นประสาท จึงเป็นส่วนที่ไม่ได้รับความรู้สึก เวลาที่ฟันเริ่มผุจึงไม่มีอาการเจ็บปวด
           ชั้นเนื้อฟัน (Dentine) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากเข้ามา ประกอบด้วยท่อเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นที่รวมของเส้นประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นเวลาฟันผุถึงชั้นนี้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน
           ชั้นโพรงประสาทฟัน (Pulp) คือโพรงช่องว่างภายในฟัน เป็นที่อยู่ของเส้นประสาท และเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงตัวฟัน ทำหน้าที่ในการรับความรู้สึกร้อน เย็น ปวด เจ็บ กรณีที่ฟันผุมาถึงชั้นนี้จะไม่สามารถอุดฟันได้
           ชั้นร่องเหงือก (Gingival crevice) คือเป็นส่วนร่องระหว่างตัวฟันกับขอบเหงือก ปกติจะมีขอบบาง มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร แต่ถ้ามีโรคเหงือกอักเสบ หรือเป็นรำมะนาด อาจมีอาการบวม ทำให้ร่องระหว่างฟันนี้ลึกขึ้น และเกิดการอักเสบมากขึ้นได้
           ส่วนชั้นเหงือก (Gingiva) คือเป็นส่วนเนื้อเยื่อที่หุ้มตัวฟัน และกระดูกขากรรไกรไว้
           เคลือบรากฟัน (Cementum) ส่วนนี้จะเป็นชั้นบางๆ คลุมเนื้อฟันบริเวณรากฟันไว้ แตกต่างจากเคลือบฟันตรงที่มีความแข็งแรงน้อยกว่า ปกติจะฝังตัวอยู่ในกระดูก แต่ถ้ามีเหงือกร่น หรือเกิดโรครำมะนาด อาจทำให้ส่วนนี้สัมผัสกับน้ำและอากาศ เกิดอาการเสียวฟันได้ กระดูกเบ้ารากฟัน (Alveolar bone) คือส่วนของกระดูกที่รองรับรากฟัน

2. ฟันแต่ละซี่มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

           ฟันหน้าตัด (Incisor Teeth) จะอยู่บริเวณหน้าสุด มีทั้งหมด 8 ซี่ ทำหน้าที่กัดอาหาร
           ฟันเขี้ยว (CanineTeeth) จะเป็นฟันที่มีรากยาวที่สุด มีทั้งหมด 4 ซี่ และมีความแข็งแรงมาก ปลายแหลม ทำหน้าที่ตัด ฉีก และแยกอาหารออกจากกัน
           ส่วนฟันกรามน้อย (Premolar or Bicuspid Teeth) จะพบเฉพาะในฟันแท้เท่านั้น จะรูปร่างคล้ายฟันกรามแต่มีขนาดเล็กกว่า มีทั้งหมด 8 ซี่ ทำหน้าที่ในการบดเคี้ยวอาหารร่วมกับฟันกราม
           ฟันกราม (Molar Teeth) จะเป็นฟันที่ใหญ่ที่สุดในปาก มีความสำคัญมากเพราะนอกจากจะช่วยในการบดเคี้ยวอาหารแล้ว ยังทำงานร่วมกับฟันเขี้ยวในการคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของขากรรไกรอีกด้วย

3. ฟันมีความสำคัญมากกว่าบดเคี้ยว

           - ช่วยในเรื่องของการพูดให้ออกเสียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
           - ช่วยรักษาโครงสร้างของใบหน้า ให้มีความกว้าง ความยาว และความอิ่มของริมฝีปากให้สมดุลกัน
           - เป็นส่วนประกอบของบุคลิกภาพให้ดูดียิ่งขึ้น เพราะฟันเป็นส่วนหนึ่งที่มองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาที่พูดคุยกัน

4. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นโรคในปาก

          โรคในช่องปากนั้นจะทำให้ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ เพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากการเคี้ยวอาหาร จะทำให้เราทานได้น้อย ร่างกายจึงซูบซีด อ่อนเพลียไม่มีแรง นอกจากนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ไปพบทันตแพทย์ เชื้อโรคในช่องปากจะยิ่งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น โพรงจมูก ทำให้เกิดไซนักอักเสบ ทอนซิลอักเสบได้

5. ฟันผุดูยังไง

ฟันผุโดยทั่วไปเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สเตรปโตคอคไค (Streptococci)ที่อาศัยอยู่บนแผ่นคราบจุลินทรีย์ในปากของเรา ย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เกาะอยู่ตามชั้นเคลือบฟัน ซึ่งผลพวงจากการย่อยสลาย จะก่อให้เกิดกรดบางชนิด โดยเฉพาะกรดแลกติกไปทำลายโครงสร้างของฟันทำให้เกิดการผุกร่อน
          หากคุณเป็นคนที่กำลังสงสัยว่าฟันผุ เรามีวิธีสังเกตอย่างไรนั้น เรามีคำตอบ ดังนี้ ในขั้นแรกจะสังเกตเห็นฟันเป็นสีขาวขุ่นเหมือนสีของนม ผิวฟันมีลักษณะ
ด้านไม่มันเหมือนฟันปกติ ต่อมาจะเห็นได้ชัดว่าผิวฟันซี่นั้นมีลักษณะขรุขระไม่เรียบ และมีอาการเสียวฟันบ่อยๆ ทั้งนี้หากปล่อยไว้ไม่รักษาให้ลุกลามไปจนถึงโพรงประสาทฟันซึ่งเป็นที่อยู่ ของเส้นประสาทรับความรู้สึก อาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เคี้ยวอาหารไม่ได้ และก่อให้เกิดฝีในเหงือกได้ค่ะ

6. เลือดออกตามไรฟัน เป็นสัญญาณของเหงือกอักเสบ

          เวลาที่มีเลือดออกตามไรฟัน เรามักจะคิดกันว่าร่างกายขาดวิตามินซี จริงๆ แล้วสำหรับคนที่รับประทานผัก และผลไม้เป็นประจำตลอดทั้งปี โอกาสที่จะขาดวิตามินซีถึงขนาดเลือดออกตามไรฟันมีน้อยมาก และสำหรับผู้ที่กินผักและผลไม้เป็นประจำ แต่มีอาการเลือดออกตามไรฟันบ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุนั้น ทันตแพทย์ได้กล่าวไว้ว่า เป็นอาการของคนที่ป่วยเป็นเหงือกอักเสบ ยิ่งใครที่แปรงฟัน (ถูกต้อง) แล้วมีเลือดติดที่ขนแปรงเป็นประจำ ร่วมกับเวลาบ้วนปากด้วยน้ำปกติแล้วมีเลือดปนออกมาด้วย แสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับอาการเหงือกอักเสบกำลังจะมาเยือนคุณแล้ว

7. เศษอาหารตัวการโรคเหงือกอักเสบ

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยใส่ใจในสุขภาพฟันของตัวเอง ปล่อยให้เศษอาหารที่รับประทานเข้าไปตกค้างอยู่ตามซอกเหงือก ร่องฟัน ขอบเหงือก พึงรู้ไว้เลยค่ะว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกอักเสบมากทีเดียว เพราะเศษอาหาร เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้จุลินทรีย์ในช่องปากแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดหินปูน และการติดเชื้อของเนื้อเยื่อรอบๆ ตัวฟัน จับตัวกันเป็นแผ่นหนาขยายไปตามรากฟัน จนไปบาดเหงือก ทำให้เหงือกระคายเคือง อักเสบบวมแดง เหงือกร่น เป็นโรคเหงือกอักเสบได้ในที่สุด และหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้ฟันโยก เคี้ยวอาหารไม่ได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นฝีที่เหงือกได้

8. โรครำมะนาด อันตรายที่คุณคาดไม่ถึง

          ปัจจุบันคนส่วนใหญ่สูญเสียฟันด้วยโรครำมะนาดมากที่สุด โรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์อักเสบ สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่อหรืออวัยวะรอบๆ ตัวฟัน เหงือก เนื้อเยื่อปริทันต์ และกระดูกเบ้ารากฟันซึ่งทำหน้าที่ช่วยยึดฟันให้ตรึงแน่นอยู่กับขากรรไกร มีอาการอักเสบอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดอาการบวมแดงที่เหงือก มีกลิ่นปากเนื่องจากการบูดเน่าของเนื้อเยื่อที่ใต้ซอกฟัน ทำให้เกิดอาการปวด เหงือกอักเสบ ฟันโยกคลอน หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจลุกลามจนเป็นหนองได้ ทั้งนี้โรครำมะนาดจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ให้ทราบล่วงหน้า จนกว่าเข้าสู่ระยะสุดท้ายซึ่งรักษาไม่ได้แล้ว คนส่วนใหญ่จึงจำต้องปล่อยให้ฟันหลุดไปอย่างน่าเสียดาย

9. หินปูนคืออะไร ใครรู้บ้าง

          การเกิดหินปูนหรือหินน้ำลาย เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างในช่องปาก จนกลายเป็นคราบจุลินทรีย์ที่มองไม่เห็น ต่อมาเมื่อมีแคลเซียมในน้ำลายเข้าไปทำปฏิกิริยา จะตกตะกอนสะสมอยู่บนฟัน หากไม่ได้แปรงฟันหรือทำความสะอาดไม่ดีพอ แผ่นจุลินทรีย์นั้นก็จะสะสมยึดติดที่คอฟันจนแน่น ไม่สามารถกำจัดออกได้ กลายเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำ ทำให้กลายเป็นโรคเหงือกอักเสบได้ในที่สุด

10. ทำไมต้องผ่าฟันคุด เพราะอะไร

          ฟันคุดเป็นฟันที่ขึ้นในช่องปากเป็นซี่สุดท้ายของแถวฟันด้านในสุด ในช่วงอายุราว 25 ปี การงอกของฟันคุด มักสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้าของเป็นอย่างมาก เพราะมักจะเกิดอาการอักเสบบวมแดงของเหงือกรอบฟันคุด และปวดร้าวไปทั่วทั้งกราม
          ยิ่งกว่านี้ฟันคุดยังมีโอกาสผุได้ง่ายกว่าฟันซี่อื่นๆ เนื่องจากอยู่ด้านในสุด ทำความสะอาดยาก และหากปล่อยให้มีการอักเสบรุนแรง จนเกิดการติดเชื้อกระจายไปถึงเนื้อเยื่อภายในกระพุ่งแก้ม อาจทำให้เกิดอาการขากรรไกรบวมได้ ด้วยเหตุนี้ใครที่มีฟันคุด ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ผ่าออก

11. ฟลูออไรด์ใช้มากไปใช่ว่าจะดี

          ถึงแม้ว่าฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุ แต่หากได้รับมากเกินไปก็เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกันคือ ทำให้ฟันตกกระ ในขณะที่หน่อฟันกำลังเจริญเติบโต (แรกเกิดถึง 12 ปี )หากร่างกายได้รับฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสูงกว่าสองส่วนในล้านส่วนขึ้นไป จะทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้ตั้งแต่สีขาวขุ่น น้ำตาล ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม (ด้วยเหตุนี้เด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ปีจึงไม่ควรกินหรือกลืนยาสีฟัน) ทำให้เกิดภาวะผิดปกติเฉียบพลันในร่างกาย ในกรณีที่ร่างกายได้รับฟลูออไรด์ขนาด250 มิลลิกรัมขึ้นไปโดยทันที ฟลูออไรด์จะเข้าไปสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อยุกระเพาะอาหาร ทำให้คลื่นไส้และอาเจียน ท้องเดินชักเกร็ง และอาจหมดสติถึงตายได้ (มักเกิดกับเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์)

12. ข้อเสียของฟันปลอมเป็นยังไง

          การใส่ฟันปลอมที่ไม่ถูกต้องนั้น จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ฟันซี่ที่ผุอยู่แล้วลุกลามมากขึ้น อาจลุกลามทะลุถึงโพรงประสาทฟัน นอกจากนี้ฟันปลอมยังทำให้เกิดปัญหาเจ็บเหงือก เคี้ยวอาหารไม่ถนัด เป็นเหตุให้ระบบทางเดินอาหารต้องรับภาระในการย่อยอาหารหนักขึ้น จนอาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้ตามมาได้

13. วิธีลดอาการปวดฟัน มีดังนี้

          - อาการปวดฟัน (Toothache) ส่วนใหญ่ส่งผลมาจากฟันผุ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหายทรมานจากอาการปวดฟัน เรามีข้อแนะนำง่ายๆ ต่อไปนี้คะ
          - สาเหตุที่ปวดฟันลักษณะที่ปวดแบบตุบๆ ให้ใช้น้ำแข็งประคบที่ด้านข้างของใบหน้าประมาณ 5 - 10 นาที ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดอาการปวดและบวมได้
          - หลีกเลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด อาหารที่เย็นจัด และอาหารที่หวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ปวดฟัน และควรงดอาหารแข็งประเภทต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดแรงๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟันมากขึ้น
          จาการที่เราอุดฟันมาเราควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้ปวดฟันมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกง่ายขึ้นอีกด้วย

14. การขูดหินปูน เมื่อไหร่ถึงจะดี

ทุกๆ ปี เราควรไปขูดหินปูนอย่างน้อยปีละสองครั้ง ทั้งนี้บางคนหินปูนขึ้นช้า บางคนขึ้นเร็ว 6 เดือนเป็นระยะเวลาเฉลี่ย แต่ทั้งนี้ต้องไปพบทันตแพทย์เช็คสภาพฟันโดยละเอียดอย่างน้อยปีละครั้ง ก็ยังดีกว่าที่ไม่ไปเลย


15. ทำไมต้องแปรงลิ้น เพราะอะไร

          เพราะลิ้นของเรามีลักษณะเป็นปุ่มเล็กๆ มีหน้าที่รับรสอาหารต่างๆ ลิ้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์บางชนิดเป็นอย่างมาก หากเราแปรงฟันโดยไม่แปรงลิ้น เชื้อโรคที่เกาะแน่นอยู่ที่ลิ้นก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป ปล่อยไว้อาจทำให้มีกลิ่นปากและฟันผุได้
          การแปรงลิ้นนอกจากจะช่วยให้ประสาทการรับรสของเราดีขึ้นแล้ว ยังป้องกันปัญหากลิ่นปากได้ด้วย

วิธีการดูแลสุขภาพฟันในระหว่างจัดฟัน

ปัญหาที่ถูกพบบ่อยมากที่สุดคือคนไข้ที่ ติดเครื่องมือจัดฟันแล้ว มีอาการอักเสบหรือมีอาการฟันผุ อันเนื่องมาจากการดูแลสุขภาพช่องปากทำได้ยาก ดังนั้นจึงควรมีการวิธีการทำความสะอาดสุขภาพช่องปากที่อยู่ในระหว่างจัดฟัน โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. ควรแปรงฟันทุกมื้อหลังรับประทานอาหาร โดยปกติจะแปรงเช้าและก่อนนอน เนื่องจากในระหว่างที่ทานอาหารเสร็จ จะมีเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันเป็นจำนวนมาก บางครั้งการบ้วนปากเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ช่วยกำจัดเศษอาหารที่ตกค้างได้จน หมด สิ่งที่ควรจะทำก็คือหันไปใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารเช่นเดียว กัน ซึ่งถ้าไม่มีเวลาควรใช้วันละ 1 ครั้ง ก่อนแปรงฟันตอนเย็น
  2. กรณีที่ใช้ไหมขัดฟันไม่สะดวก อาจจะมีการเลือกใช้เป็นไหมขัดฟันชนิดพิเศษ (Superfloss) ใช้ทำความสะอาด โดยจะใช้ในส่วนปลายของไหมขัดฟันชนิดพิเศษซึ่งมีความแข็งและจะสอดเข้าไป ระหว่างฟัน
  3. ใช้ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ อย่างน้อยวันละครั้งเพื่อช่วยลดอัตราการเกิดฟันผุได้
  4. ใช้แปรงสีฟันที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับ ผู้รักษาเพราะจะสามารถทำความสะอาดได้ง่ายและสะอาดกว่าการใช้แปรงสีฟัน ธรรมดา  ซึ่งการใช้แปรงตามซอกฟัน จะสามารถเข้าไปทำความสะอาดได้
  5. ควรจะมาขูดหินปูน ร่วมกับการตรวจเช็คฟันผุทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากผู้ที่มารักษาที่ติดเครื่องจัดฟันนั้นมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรค เหงือกอักเสบ และโรคฟันผุได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

ข้อควรระวัง

  1. หลีกเลี่ยงจากการเคี้ยวอาหารแข็งๆ เหนียว กรอบๆ เช่นการเคี้ยวก้อนน้ำแข็ง ปลาหมึก ถั่ว หมากฝรั่ง ซึ่งจะทำให้เครื่องมือหลุดได้ ถ้าเครื่องมือหลุดบ่อยๆ ซึ่งจะต้องกลับไปให้ทันตแพทย์ติดเครื่องมือใหม่ เสียเวลาและค่าใช้จ่าย
  2. อาหารที่มีลักษณะชิ้นใหญ่ๆ ควรที่จะตัดแบ่งออกให้เป็นชิ้นคำพบดี ไม่ควรใช้ฟันในการกันแบ่ง
  3. การรับประทานควรรับประทานอาหารอ่อนๆ โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งจะติดเครื่องมือหรือเปลี่ยนลวดใหม่ๆ มีอาการเส้นลวดเล็กๆ ทิ่มกระพุ้งแก้ม จะต้องใช้ขี้ผึ้งที่ทันตแพทย์ให้มาปิดปลายเส้นลวดก่อน แล้วจึงกลับมาพบทันตแพทย์เพื่อที่จะได้รับการแก้ไข และปรับแต่งเส้นลวดใหม่ๆบริเวณนั้น

เพียงเท่านี้คุณก็จะจัดฟันของคุณก็จะราบรื่น ได้ฟันสวยๆ ซึ่งจะไรปัญหาจากการเกิดโรคฟันผุและอาการเหงือกอักเสบได้

สมุนไพรบรรเทาอาการปวดฟัน


คุณคงเป็นอีกหนึ่งคนที่ยอมแพ้ให้อาการปวดฟัน ซึ่งหลายต่อหลายคนคงลงความเห็นว่าเป็นที่สุดของความทรมานเลยใช่ไหม
          เนื่องจากจะมีอาการปวดแปลบๆ ปวดตุบๆ หรือปวดรุนแรงค่อยๆ กวนใจอยู่ตลอดเวลา ทำเช่นใดก็ยอมไม่หายสักที กินยาแก้ปวดก็แล้ว ทายาก็แล้ว โดยเฉพาะหลังจากการเคี้ยวอาหารมื้ออร่อยหรือขนมขบเคี้ยวไปแล้วราวๆ 20 นาที จนต้องรีบไปหาหมอฟัน เปลืองทั้งเงินเจ็บทั้งตัว
          ถ้าหากคุณเบื่อการกินยาแก้ปวด และไม่ต้องการไปหาหมอฟันแล้ว เรามีวิธีให้คุณเป็นหมอรักษาตัวเองด้วยวิธีไม่ยากนัก

สิ่งใดทำให้คุณปวดฟัน
          อาการปวดฟัน (toothache) ส่วนใหญ่มีผลมาจากสาเหตุฟันผุ ซึ่ง ในระยะแรกๆ จะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะรุกลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มที่สุดภายในฟัน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม
          เมื่อเกิดอาการปูดจะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง
          ในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย ครั้นถึงตอนนั้นอาการปวดจะหายไป อย่างไรก็ดี ถ้าหากเป็นหนองที่ปลายรากฟันอาการปวดอาจจะกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อ ๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น
          นอกจากนี้อาการปวดฟันอาจเกิดจากอุปกรณ์ที่อในการอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุดและเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่นและรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมาส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟัน และปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดีก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษต่อของร้อนหรือของเย็นได้

วิธีลดอาการปวดฟัน
ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วละก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ต่อไปนี้ดูสิคะ
  1. เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น
  2. ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบ ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดปวดและลดบวม
  3. ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟหรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน
  4. เมื่อต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็นหรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ
  5. เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการงดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรง ๆ กับวัตถุแข็ง ๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟันควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกมาง่ายขึ้น

นวดกดจุดลดอาการปวด
          หลายคนคงคุ้นเคยกับการนวดตรงจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหม คราวนี้เราลองมานวดกดจุดเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า
  1. นวดคลึงเบา ๆ ที่แก้มเหนือบริเวณฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว
  2. ใช้น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว
  3. สำหรับคนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบนให้วางนิ้วหัวแม่มือ ตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณหนึ่งนิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรง ๆ ประมาณ 10 นาที

สมุนไพรบรรเทาปวด
     บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกินทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสอบอาการปวดด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่าค่ะ

ว่านหางจระเข้

      มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรคและสลายพิษ (neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้น ๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ล้างยางออกให้หมด เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวดหรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว




น้ำมันละหุ่ง

      ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่น ๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้น นอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ในกรณี ที่เกิดการติดเชื้อหรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่นไซโทไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน



น้ำมันกานพลู
     มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไปอาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วชุบสำลีอุดฟันซี่ที่ปวด



น้ำมันกระเทียม 
       ใช้สำลีจุ่มน้ำมันกระเทียมทาตรงที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน

         


ดาวเรือง
       ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวันเพื่อแก้อาการปวดฟัน







ผักบุ้งนา 
      นำรากสดของผักบุ้งนาราว 10 กรัม ตำให้แหลกแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด

 



มะระ
       นำรากมะระสดมาตำพอละเอียด แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่


 

กุยช่าย 
        ในเหตุที่ปวดฟันเพราะแมงกินฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้หนึ่งคืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้

          ถ้าตัวคุณไม่ต้องการไปหาหมอ คุณก็ต้องตัดหน้าเป็นหมอของตัวเอง ก่อนที่อาการปวดจะลุกลามเกินเยียวยาจนถึงขั้นต้องถอนฟันทิ้งนะคะ

Tip
           1.เมื่อใช้ยาสมุนไพรจนอาการปวดฟันบรรเทาแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์
           2.ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินบดอุดบริเวณฟันที่ปวด เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ที่เหงือก และเป็นอันตรายต่อเคลือบฟันได้

           3.ถ้ามีอาการปวดบวมเมื่อเคี้ยวอาหาร หรือเหงือกแดงผิดปกติ มีเลือดออก แสดงว่าติดเชื้อ หรือถ้าปวดฟันและมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

อาหารเพื่อสุขภาพฟัน


อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายของเรา แต่ถ้ามองกลับกันอีกด้านหนึ่งการกินไม่เลือก ไม่ระมัดระวังก็มีโทษสำหรับร่างกายเช่นกัน ตอนนี้เรารณรงค์ในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพฟัน อาหารที่รับประทานแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม ไม่อ้วน อาหารที่กินแล้วไม่ก่อให้เกิดโรค เช่น ไขมันอุดตันในเลือด โรคหัวใจ ทางทันตกรรมก็เช่นกัน เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารอย่างมากในการป้องกันโรคฟันผุ โรคเหงือก
เมื่อเราทานอาหารเข้าไปแล้ว แบคทีเรียซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นบางๆ เหนียว ที่เรียกว่า Plaque (แผ่นคราบ) จะเปลี่ยนอาหารเหล่านั้นให้เป็นกรดทำลายฟันและเหงือกแบคทีเรียเหล่านี้ชอบ อาหารหวาน อาหารที่เป็นแป้งมาก หลังรับประทานอาหารหากยังไม่แปรงฟันทันที แบคทีเรียเหล่านี้ก็ทำหน้าที่สร้างกรดไปเรื่อยๆ ดังนั้นยิ่งรับประทานอาหารบ่อยๆ 3 มื้อหลักแล้วยังมีแทรกระหว่างมื้อ อาหารก็สัมผัสกับฟันมากขึ้นโอกาสที่ฟันและเหงือกก็ถูกทำลายมากขึ้น อะไรบ้างที่ ควร หรือไม่ควรกินในการดูแลรักษาสุขภาพฟัน
ดังนั้นเราควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อทำให้เกิดความสมดุลในร่างกาย
- ขนมปัง ข้าว Cerealอาหารที่มีกากใย
- ผลไม้
- ผัก
- เนื้อปลา ถั่ว
- นม ชีส โยเกิร์ต
ถ้าหากจะทานอาหารว่างเพื่อลดความอ้วนแล้วละก็ควรงดทานอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ให้ทานหันไปรับประทานผัก ผลไม้แทนจะดีกว่า เพราะถ้ากินแล้วไม่ได้ออกกำลังกาย เช่น ไม่ได้เดิน นั่งอยู่เฉยๆ ก็จะยิ่งทำให้เราอ้วนมากกว่าเดิมอีก ถึงแม้ว่าจะกินผั ผลไม้ หรือแม้แต่จะกินอาหารที่ไม่มีคลอเรสเตอรอลน้อยก็ตาม คนเราต้องแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่ มีฟลูออไรด์เพื่อจะได้เพิ่มความขาวให้กับฟันเองเราด้วย แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพฟันของเรานะค่ะ เพราะฉะนั้นควรใช้อย่างในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของฟัน หรือควรทำความสะอาดตามซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน Dental Floss ทุกซอกทุกมุมเพื่อที่จะไม่ทำให้ฟันของเราเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้ ในโลกนี้มีวิธีการดูแลฟัน ได้หลายวิธี แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะดูแลรักษาฟันกันด้วยวิธีไหนกันบ้างก็เท่านั้นเอง และควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อให้ฟันของเราไม่มีปัญหาในเรื่องของช่องปากและอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมาถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตั้งแรกที่พบว่าเริ่มมีปัญหาใน เรื่องสุขภาพฟัน  อย่าง เช่น ในวันหนึ่งดิฉันปวดฟันมากเลย บางวันก็ปวดแบบแรงบางวันก็ปวดไม่ค่อยแรง มันจะปวดเป็นบางวันเท่านั้นแหละค่ะ พอวันต่อมาก็หายปวด วันต่อมาก็ปวดอีกจะเป็นแบบนี้ตลอดระยะเวลาที่ 3 ปี ที่ดิฉันปวดมา หลังจากนั้นฟันซี่ที่ปวดนั้น เศษอาหารก็เข้าไปติดอยู่ทำให้ปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีก  แต่ก็ต้องทันปวดอยู่แบบนั้น สุดท้ายดิฉันเลยตัดสินใจไปถอนฟันหลังจากที่ฟันหายปวดแล้ว ผลปรากฏว่าจากการที่เราถอนฟันซี่ที่ปวดออกไปแล้วนั้นดิฉันหายปวดฟันเลยค่ะ นี้แหละถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่กลัวการถอนฟัน กลัวเข็ม ก็จะปวดฟันอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราตัดปัญหาตั้งแต่ต้นตอแล้วมันก็จะไม่ได้ปวดนาน เหมือนดิฉันนะค่ะ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบรักษาฟันอย่างเร่งด่วนนะค่ะ จะได้ไม่ปวดฟันนานเหมือนดิฉัน

ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้น้ำตาลสัมผัสฟันนานๆ 
- ลดการอมลูกอม
- ขนมกรอบๆ เหนียวๆ ติดฟัน
- น้ำอัดลม (Soft drink) ในหนึ่งกระป๋องจะมีน้ำตาลเยอะมากเป็นบางยี่ห้อมีน้ำตาล 11 ช้อนกาแฟ ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม อย่าดื่มน้ำอัดลมทุกมื้ออาหาร
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลต่อ
- ฟันเปลี่ยนสี
- เสี่ยงต่อโรคเหงือก
- เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปาก ลำคอ 

สรุป การเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดไม่ใช่จะไม่กินพวกแป้ง น้ำตาลเลย แต่ต้องระวังในการกินและคิดก่อนกินทุกครั้ง เพราะอาหารบางประเภทก็ส่งผลต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเราสามารถควบคุมอาหารและฝึกให้เป็นนิสัยก็จะส่งให้สุขภาพดีต่อเราเอง และยิ้มได้อย่างสวยงาม

Samurai Vasabi พิฆาตแมงกินฟัน

     อาการ “ฮีน” หรือความรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่างมัน ปี๊ด! ขึ้นหัว อ่าๆ หลายๆ คนคงรู้แล้วละซี่ว่า อาการฮีน มันคืออะไร ถามกันตรงๆ อย่างนี้เลย เคยกิน วาซาบิ มั่ย ? ถ้าใครที่เคยกินวาซาบิจะรู้ดีว่าอาการฮีนมันเป็นยังไง ฮ่าๆ นั้นเพราะวาซาบิมีรสชาติที่ค่อนข้างจัด(ไปทางจัดมากกก) พอเรากินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการฉุนจนปี๊ดขึ้นสมอง จนน้ำตาเล็ดกันเลยทีเดียว(แนะนำสำหรับคนไม่เคยกิน อย่าทานวาซาบิล้วนๆ หรือปริมาณเยอะๆ อาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณเองได้ ) ซึ่งวาซาบิเองก็เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นและขึ้นชื่อมาก แต่เอ๊ะ...! รู้อะไรหรือเปล่ากินวาซาบิบ่อยๆ มันดีต่อสุขภาพนะ (ฮะ..! จริงเดะ!) เพราะจริงๆ คือเจ้า วาซาบิ เนี่ยมันก็เป็นสมุนไพรอย่างนึงของคนญี่ปุ่นนี้แหละครับที่มีสรรพคุณต่างๆ มากมายหลายอย่าง สามารช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง หยุดยั้งการเจริญงอกงามของมะเร็ง ป้องกันการแข็งตัวของเลือด สร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และป้องกันฟันผุด้วย ( โอ้โหวว นี้มันโอสถทิพย์ชัดๆ กินแล้วจะอมตะป่าวเนี่ย) แต่เดี๋ยวเรามาคุยกันเรื่องของการเอาวาซาบิมาใช้ป้องกันฟันผุกันดีกว่ากับ หัวข้อในวันเน่ Samurai Vasabi พิฆาตแมงกินฟัน
 
     วาซาบิ เป็นเครื่องปรุงรสที่อยู่คู่กับประเทศญี่ปุ่นมาเป็นพันๆ ปี ทำมาจากต้นคาโนลา(Canola)โดยเอาโคนลำต้นออกมาบดๆๆ บดกันสดๆ ทำให้มีกลิ่นฉุดกลบความคาวของอาหารได้ ถ้าเทียบกับของไทย วาซาบิ ก็คงเป็นสมุนไพร เช่น พวกกระเทียม หรือ ใบกะเพรา ที่ช่วยให้อาหารจานนั้นอร่อยขึ้นแล้ว เชื่อเลยว่าวาซาบิคงเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้คนญี่ปุ่นมีอายุยืน   
     ในช่วงหลังๆ ได้มีงานวิจัยออกมายืนยันว่าวาซาบิมีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันฟันผุได้ จริงๆ เพราะมีสารไอโซทิไซนาเนตส์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ทำให้เราฟันเราผุ และลดการก่อตัวของหินปูนอีกด้วย แล้วสำหรับท่านผู้อ่านคนไหนสนใจอยากกินวาซาบิอย่างจริงๆ จังๆ แต่กลัวเรื่องรสชาติ ไม่ต้องห่วงวันนี้ผมมีสูตรการทำอาหารด้วยวาซาบิแบบง่ายๆ มาให้ลองทำกันดูนะครับ ซึ่งเมนูนี้มีชื่อว่า “ซุปครีมวาซาบิ” อันนี้แถม  คริ คริ

 ซุปครีมวาซาบิ 
 - กระเทียม 7 กลีบ              - แครอท พอประมาณ         - วิปครีม 50 ซีซี 
 - หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว         - แรชดิช พอประมาณ         - น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย 
 - มันฝรั่ง พอประมาณ           - น้ำมันมะกอก พอประมาณ   - วาซาบิ พอประมาณ 
 - หัวไชเท้า พอประมาณ       - นมสด 100 ซีซี               - ต้นหอมซอย พอประมาณ 

      หาครบหรือยัง  ถ้า ครบแล้วก็ตามนี้เบย สับกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ส่วนมันฝรั่ง หัวไชเท้า แครอท แรชดิช ให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม แล้วเจียวให้หอมจึงใส่หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และหัวไชเท้า ต่อมาใส่นมสด ตามด้วยวิปครีม น้ำเปล่า พอน้ำเดือดให้ใส่แครอท แรชดิช ปรุงรสด้วยวาซาบิ เกลือ พริกไทย เมื่อส่วนผสมเริ่มสุกยกลง รอให้อุ่นจึงนำไปปั่นให้เนียนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปครีมวาซาบิละมุนลิ้น สามารถเสิร์ฟในแก้วชอตในงานปาร์ตี้ หรือใส่ชามซุปอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานเป็นอาหารว่างก็ย่อมได้

      ก็ลองๆ ไปทำกินกันดูเน้อ สุดท้ายขอฝากและเตือนเล็กน้อยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบวาซาบิ ก็เรื่องของการรับประทานวาซาบิเพื่อป้องกันอาการฟันผุ และ อื่นๆ มันช่วยได้จริงๆ เผื่อใครมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องไปหาทันตแพทย์ในแต่ละที และหลังจากทานแล้วก็ควรแปรงฟันเพื่อทำความสะอาดด้วยนะอย่าลืมๆ แล้วใครชอบมากก็อย่าทานเยอะเกินไปอาจไม่ดีต่อร่างกาย(เยอะนี้เหมือนถึงทานครั้งนึง งาบวาซาบิช้อนโตๆ งี้มันจะโหดไป ) ในอนาคตอันใกล้อาจจะมีการเอาวาซาบิมาประยุกต์มาทำเป็นยาสีฟันก็ได้ แต่จะมีจริงๆ มั้ย คงต้องวิจัยและทดลองเพื่อพัฒนาสูตรกันต่อไป ^^ 

พืชผัก 10 ประเภทที่ควรรับประทานเพื่อสุขภาพฟันที่ดี

          การที่เรานั้นเลือกรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญเพราะมันจะส่ง ผลให้ฟันของเราเริ่ดหรือร่วงได้ เพราะฉะนั้น ผมเลยจะขอแนะนำการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน มาฝากกัน กับ 10 อย่างที่ควรรับประทาน งั้นเรามาเริ่มกับอย่างแรกกันเลย

ชาเขียว
ชาเขียวหรอ.. แล้วทำไมต้องเป็นชาเขียว เพราะในชาเขียวนั้นจะมีสารคาเทซินที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและ ขจัด คราบหินปูนได้ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรเลือกดื่มชาเขียวที่ไม่มีน้ำตาลเท่านั้น และยังช่วยลดกลิ่นปากได้อีกด้วย

ขึ้นฉ่าย
ขึ้นฉ่ายนั้นมีกลิ่นฉุนๆ และใครจะรู้ว่าเป็นอาหารเพื่อฟันสวย ที่สามารถช่วยป้องกันฟันผุได้ ถึงสองทางเลยทีเดียว คือ จะช่วยเร่งให้ร่างกายผลิตน้ำลายมากขึ้นเพื่อช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก และอย่างคือ เจ้าขึ้นฉ่ายนี้มีความกรอบจะช่วยนวดเหงือก ลดอาการเหงือกอักเสบ ถามยังทำความสะอาดตามช่องฟันอีกด้วย

ชีส
แค่รู้ว่าเป็นซีสก็ทำให้หลายคนคิดแล้วว่าต้องเป็นเมนูที่ทำให้อ้วนสำหรับ หลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ ว่าซีสนั้นจะช่วยเร่งการผลิตน้ำลายเพื่อช่วยป้องกันผุ โดยในชีสชนิดไฮแคลเซียมอุดมไปด้วยฟอสเฟต ที่ช่วยสร้างค่า pH ในปาก รวมทั้งสร้างสารเคลือบฟันด้วย

กีวี
อย่างที่รู้กันเลยว่า ถ้าเกิดมีเลือดออกตามไรฟัน ให้กินวิตาซีเยอะ ๆ ดังนั้น กีวีถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพฟันสวย ที่มีวิตามินเยอะเลยทีเดียว

หัวหอม
ได้มีการวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 1997 พบว่า ในหัวหอมสามารถฆ่าแบคทีเรียหลายชนิดในช่องปากได้ ที่สำคัญควรกินหัวหอมสด จะทำให้ได้ผลที่ดีกว่า แต่แน่นอนการกินเจ้าหัวหอมนี้น่อมมีปัญหาเรื่องกลิ่นปากตามมา แต่มีผู้รู้แนะนำว่า ลองกินกับผักซีฝรั่ง จะช่วยลดกลิ่นแรกๆ ของเจ้าหัวหอมลงได้

งา
จะเป็นอีกอย่างที่เรามักจะนำมาใช้ในเมนูอาหารของเอรา หรือแม้แต่นำมาผสมกับเครื่องดื่มก็อร่อยเหมือนกัน งาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งช่วยให้ฟันแข็งแรง กินบ่อย ๆ ฟันแข็งแรงแน่นอน

น้ำดื่ม
แน่นอนการดื่มน้ำนอกจากจะช่วยในการกระหายแล้ว น้ำยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในปาก แถมยังชำระล้างแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากของเรา และยังเร่งให้ร่างกายผลิตน้ำลายเพื่อลดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

วิซาบิ
อาหารรสแซบซ่าเป็นที่ถูกอกถูกใจกับคนที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น ส่วนคนทั่วไปแค่ได้ยินชื่อก็ฉุนขึ้นจมูกแล้ว แต่ใครจะไปรู้ละว่าอาหารเพื่อฟันสวยนั้นก็คือเจ้านี้แหละ วาซาบินี้แหละ เพราะมันมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการสะสมของแบคทีเรียได้ด้วย

สะระแหน่
สะระแหน่เป็นผักที่ใช้ประกอบอาหารในหลายๆ เมนู เลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นหอมๆ ของสะแหน่นี้ แหละที่สามารถลดกลิ่นปากแรง ๆ ของเราได้ นอกจากนี้สะระแหน่ยังมีสาร Monoterpenes ซึ่งจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ปอดผลิตอากาศได้ดีขึ้นอีกด้วย


เห็ดซิตาเกะ
แค่ได้ยินชื่อแล้วก็ไม่ค่อยชินหูสักเท่าไหร่ แต่มีการวิจัยออกมาแล้ว ว่าเจ้าเห็ดชิตาเกะมีน้ำตาลที่ชื่อ Lentinan ที่ช่วยป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งจะไปสร้างคราบหินปูนที่ของเรา ถ้ารู้อย่างนี้แล้วต้องลองไปหากินดูกันนะครับ เพื่อสุขภาพฟันที่แข็งแรงและจะได้อยู่กับเราไปยาวนานนั้นเอง...

10 ปัญหาช่องปากและสุขภาพฟันของเด็กที่มักจะเกิดขึ้นบ่อย

1. ลิ้นเป็นฝ้าขาว  เกิดจากเมื่อลูกดื่มนมแล้ว ไม่ได้ทำความสะอาดคราบนมที่มักจะเกาะตามสันเหงือก หรือบริเวณกระพุ้งแก้ม จะทำให้กลายเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ ทำให้เกิดเป็นฝ้าขาว ๆ ตามบริเวณลิ้น เพดานปาก และกระพุ้งแก้ม  และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฟันผุได้ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพฟัน เช่นกัน
 
2. ฟันน้ำนมขึ้นไม่ครบ 20 ซี่ โดยปกติฟันน้ำนมจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดาประมาณ 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของกระดูกขากรรไกร 10 หน่อ ซึ่งอาจจะทำให้ฟันน้ำนมผิดปกติไปได้ ซึ่งเด็กบางคนอาจจะมีฟันน้ำนมไม่ครบ 20 ซี่ หรืออาจมีฟัน 2 ซี่ติดกันเรียกว่า ฟันแฝด ซึ่งไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรเนื่องจากเป็นเพียงฟันน้ำนมเท่านั้น 
 
 
3. ฟันน้ำนมผุ อาการนี้พบตั้งแต่อายุก่อนหนึ่งปี เนื่องมาจากเคลือบฟันของฟันน้ำนมจะน้อยกว่าฟันแท้มาก รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส หรือแคลเซียมก็น้อยกว่าฟันแท้เช่น เดียวกัน  ทำให้การผุของฟันนั้นง่ายขึ้น และยังลุกลามไปยังโพรงประสาทฟันได้ง่ายเช่นเดียวกัน  การผุของฟันน้ำนมนั้นค่อนข้างจะรักษายาก เนื่องจากเป็นฟันของเด็ก แล้วยิ่งผุในเด็กที่อายุน้อยกว่าหนึ่งขวบ ยิ่งจะทำให้การรักษายากขึ้น การป้องกัน และการดูแลสุขภาพฟันของเด็กอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครอง คือการตรวจสอบคราบต่าง ๆ บริเวณฟัน และคอฟันอย่างสม่ำเสมอจึงถือเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
 
 
4. ฟันซี่ไหนผุง่าย ฟันซี่ที่ผุง่ายจะเป็นฟันน้ำนมซี่หน้า เพราะเป็นบริเวณที่เด็กจะสัมผัสกับนมได้ง่ายและเป็นบริเวณที่น้ำลายมักจะไหล ผ่านน้อยที่สุด อีกจุดหนึ่งคือฟันกรามด้านบนซึ่งซอกฟันบริเวณนี้เป็นตำแหน่งที่การแปรงฟัน เข้าถึงได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงทำให้สามารถผุบ่อยได้เช่นกัน วิธีป้องกันคือควรให้เด็กเลิกดื่มนมจากขวดเมื่ออายุประมาณ 12-18 เดือน แล้วมาดื่มนมจากถ้วยแทน จะทำให้การกค้างของนมในช่องปากลดลง และ หลีกเลี่ยงการดื่มนมที่มีรสหวาน
 
 
5. อาการเสียวฟัน มักจะเกิดกับเด็กที่ฟันผุ ที่ลุกลามลงไปสู่เนื้อฟันทำให้เกิดอาการเสียวฟันหรือ ปวดฟัน เวลารับประทานอาหารเย็นจัด หรือร้อนจัด วิธีแก้ไขคือไปอุดฟัน เพราะหากไม่ทำการรักษาหรือแก้ไขใด ๆ เลยจะทำให้เกิดเป็นตุ่มหนองบริเวณเหงือก และเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อกินอาหาร
 
 
6. หลุมร่องฟันเป็นสีดำนั้นฟันผุหรือเปล่า? ถ้าเกิดในฟันกรามของฟันน้ำนม เคลือบฟันเปลี่ยนสีเป็นสีดำบริเวณหลุมร่องฟัน องทำการแปรงฟันให้สะอาดสม่ำเสมอ หากยังไม่แน่ใจว่าเป็นฟันผุหรือเปล่า ให้คอยตรวจสอบดู ถ้าเป็นฟันผุจะรักษาด้วยการอุดฟัน
 
 
7. ครอบฟันน้ำนมได้หรือเปล่า ความจริงแล้วสามารถทำได้ แต่ถ้าหากเนื้อฟันเหลือน้อยเกินไปก็ไม่แนะนำให้เก็บไว้ เพราะว่ายังไงฟันแท้ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อยู่ดี แต่เพื่อสุขภาพฟันที่ดีของลูกจึงควรที่จะรักษาฟันไว้จะดีกว่า
 
 
8. ทำไมฟันแท้ไม่ขาวเท่าฟันน้ำนม สาเหตุที่ฟันแท้ไม่ขาวเท่าฟันน้ำนมเนื่องมาจากฟันน้ำนมมีส่วนประกอบของน้ำมากกว่าฟันแท้
 
 
9. ฟันบิ่น ฟันหัก ส่วนใหญ่หากฟันฟันบิ่นหรือหักแล้วไม่ทะลุถึงโพรงประสาท (เลือดไม่ออก) ให้ไปพบทันตแพทย์และหาเศษฟันที่แกไปด้วย เพราะอาจจะสามารถบูรณะฟันได้ แต่หากทะลุถึงโพรงประสาทฟันควรจะรีบไปหาทันตแพทย์ทันที
 
 

10. เด็กกลัวหมอฟัน จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติมากที่เด็กจะกลัวหมอฟัน อย่าว่าเด็กเลยบางครั้งผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัว ทางแก้คือหมั่นพาเด็กไปพบหมอฟันบ่อยๆ ที่ยังฟันไม่ผุเพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับอุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ ของทันตแพทย์ซึ่งจะสามารถช่วยได้เช่นกัน