ดูแลสุขภาพช่องปากด้วยไหมขัดฟัน


               ไหมขัดฟันเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันที่จำเป็นสำหรับทุกคน   เป็นเส้นใยที่ทำจากไนลอน ใช้กำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อยู่ตามซอกฟัน ส่วนใหญ่จะมีสีขาว บางชนิดเคลือบขี้ผึ้ง บางชนิดไม่เคลือบ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด บางยี่ห้อก็มีการแต่งกลิ่นและสีเพื่อให้น่าใช้ยิ่งขึ้น   โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่น ใส่ครอบฟันและจัดฟัน การใช้ไหมขัดฟันช่วยลดอาการเหงือกอักเสบ ลดกลิ่นปาก และทำให้ทราบเมื่อเริ่มมีฟันผุบริเวณซอกฟัน หรือวัสดุอุดฟันบริเวณนั้นชำรุดต้องแก้ไข   ในไหมขัดฟันเรียงตัวขนานกัน เวลาใช้งานเส้นใยย่อยจะถูกแผ่ออกมาเป็นแถบทำความสะอาดฟันได้ ต่างจากเส้นด้ายธรรมดาที่เส้นใยย่อยถูกถักเป็นเส้นกลมจึงหยาบและคม และไม่สามารถใช้แทนไหมขัดฟันได้
                ดังนั้น ในการทำความสะอาดฟันให้ทั่วถึงทุกด้าน ของแต่ละซี่ฟัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟันร่วมกับการแปรงฟันด้วย เพื่อเป็นการป้องกันโรคเหงือก และโรคฟันผุ การใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลามากพอสมควร การใช้ไหมขัดฟันในช่วงเวลาก่อนการแปรงฟัน จะได้ผลดีที่สุด

ไหมมี 2 ชนิด
1. ไนลอน (หรือมัลติฟิลาเมนท์) แบ่งได้อีกเป็นแบบเคลือบและไม่เคลือบ และมีหลายรสชาติ เนื่องจากไหมชนิดนี้จะประกอบด้วยเส้นใยไนลอนบาง ๆ หลายเส้น จึงอาจเกิดการฉีกขาด โดยเฉพาะบริเวณที่ค่อนข้างแน่น
2. PTFE (โมโนฟิลาเมนท์) ในขณะที่ไหมขัดฟันชนิด PTFE จะมีความทนทาน   ราคาแพงกว่า และสามารถเลื่อนเข้าสู่ซอกฟันได้ง่ายกว่า มีความเหนียวกว่า ถ้าใช้อย่างเหมาะสม ทั้งสองชนิดจะช่วยกำจัดคราบแบคทีเรียและเศษอาหารได้อย่างดี

วิธีการใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟัน
   
1.ดึงไหมขัดฟันยาวประมาณ 20 ซม ผูกเป็นวงใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับไหม หรือ พันรอบปลายนิ้วกลางทั้งสอง แล้วใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับเส้นไหมดึงไหม  ให้ตึง โดยให้ระยะห่างกัน 1.5-2 นิ้ว
2.สอดเส้นไหมขัดฟันเบาๆลงตามร่อง  เข้าระหว่างซี่ฟันและร่องเหงือก  ฟัน  เหมือนเลื่อนเพราะหากดันแรงๆอาจจะทำให้เลือดออด  เลื่อนไหมไปมาเบาๆ เข้าระหว่างซอกฟันแล้วโค้งไหมโอบรอบฟัน เพื่อทำความสะอาดโดยเคลื่อน ขึ้นลง
3.เมื่อไหมถึงเหงือกให้ดึงไหมให้โค้งตามฟัน
4.ดึงไหมขึ้นลงและทำทั้งสองด้าน  เมื่อได้ 1 ซี่แล้วก็พลิกไปอีกด้านหนึ่ง ทำไป เรื่อยๆ จนรอบทุกซี่ ทุกซอก จนครบรอบ
5.เพื่อสุขภาพที่ดีของฟันควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอทุกวัน

ตัวอย่างวีดีโอวิธีการใช้ไหมขัดฟัน


ประโยชน์ของการใช้ไหมขัดฟัน


             เนื่องจากขนแปรงสีฟันนั้นไม่สามารถ เข้าทำความสะอาดในส่วนของซอกฟันได้อย่างทั่วถึง เพราะขนาดและความยืดหยุ่นไม่เหมาะสม แต่ไหมขัดฟันสามารถทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมได้ อย่างไรก็ดี ไหมขัดฟันก็ใช้ได้ดี เฉพาะส่วนของซอกฟัน ดังนั้น ในการทำความสะอาดฟันให้ทั่วถึงทุกด้าน ของแต่ละซี่ฟัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟัน ร่วมกับการแปรงฟันด้วย เพื่อให้การป้องกันโรคเหงือก และโรคฟันผุได้ผลดีในทุกด้านฟันไหมขัดฟัน มีประโยชน์ คือ
1. สามารถช่วยทำความสะอาดฟันที่เราไม่สามารถทำความสะอาดได้ เช่น ฟันซ้อนเก   เนื่องจากเราจะใช้แปรงสีฟันทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ไหมขัดฟันจะช่วยได้มาก
2. ช่วยกำจัดเศษอาหารที่ติดตามซอกฟันออก  เนื่องจากสามารถขัดฟันได้ทุกซอกทุกมุม
             การวิจัยพบว่า การใช้ไหมขัดฟันด้วยจะสามารถลดอัตราการเกิดฟันผุด้านข้างได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้ไหมขัดฟัน นอกจากนี้ไหมขัดฟันยังช่วยลดอาการกลิ่นปากได้ด้วย ดังนั้นจึง แนะนำให้ใช่ไหมขัดฟัน คู่กับการแปรง จึงจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เรามีสุขภาพฟันที่ดียิ่งขึ้น

การดูแลรักษาฟันเด็ก

      การเอาใจใส่ในการดูแลรักษาสุขภาพฟันของเด็ก ควรจะเริ่มดูแลตั้งแต่แรกเกิดไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันน้ำนมซี่แรกจะงอก พ่อแม่จึงมีหน้าที่ในการดูแลเอาใจใส่ พ่อแม่จึงมีภาระที่ต้องช่วยดูแลสุขภาพปากและฟันของบุตรหลานของตน ดังนั้นควรพาบุตรของท่านไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกเมื่อบุตรมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ การไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอจะทำให้การรักษาทำความสะอาดภายในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้เด็กมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง และจะมีรอยยิ้มที่สวยใสตลอดไป

  

ฟันน้ำนมขึ้น และฟันแท้ขึ้นมาแทนที่
โดยทั่วไปฟันน้ำนมซี่แรก จะขึ้นเมื่ออายุได้ราว 6-8 เดือน  และก็จะเพิ่มขึ้นไปที่ละซี่สองซี่และจะค่อยทยอยขึ้นจนครบ 20 ซี่เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง เมื่อฟันขึ้นเด็กอาจจะมีอาการเจ็บปวดฟันบริเวณเหงือก และมีน้ำลายไหลเกือบตลอดเวลาเมื่อขณะฟันขึ้น หากเด็กตัวร้อนนานหลายๆ วัน มิใช่สาเหตุของการขึ้นของฟัน น้ำนมยังช่วยกระตุ้นให้การเจริญของขากรรไกร ของโครงหน้าเป็นไปอย่างปกติ ช่วยกันที่ไว้ให้ฟันถาวร ที่จะขึ้นในตำแหน่งนั้นขึ้นได้ อย่างปกติ และถูกต้องฟัน
ฟันแท้เริ่มงอกขึ้นมาแทนที่ตั้งแต่อายุ 6 ถึง 12 ขวบ ฟันแท้ซีกแรกจะขึ้นตอนอายุ 6 ขวบได้แก่ ฟันกรามอายุหกขวบซี่ที่ 1 ล่าง ถ้าดูจากภายในช่องปากจะอยู่หลังจากฟันกรามน้ำนมซี่สุดท้ายของปาก ฟันหน้า เขี้ยว และฟันกรามหน้า จะขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนม และสุดท้ายได้แก่ฟันกรามอายุสิบสอง ซึ่งจะงอกด้านหลังฟันกรามอายุหกขวบ 



โภชนาการ
น้ำนมของแม่เป็นอาหารธรรมชาติ ที่ดีที่สุดสำหรับเลี้ยงทารก ในน้ำนมมารดานั้นมีสารอาหารที่ร่างกายของเด็กต้องการอยู่ครบถ้วน และช่วยในการพัฒนาการของเด็กในระยะหกเดือนแรก ควรให้เด็กดื่มนมมารดา และ/หรือนมที่ผลิตเป็นพิเศษสำหรับทารก นานเป็นเวลาหนึ่งปีหรือนานกว่านั้น เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น ควรลดการให้นมในตอนกลางคืน หากเด็กตื่นขึ้นในเวลากลางคืนและกระหาย ก็ควรให้น้ำสะอาดดื่มแทนนม
การให้เด็กดื่มน้ำผลไม้จากขวดนม เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง และ ห้าม ให้เด็กดื่มน้ำผลไม้ทุกชนิดในตอนกลางคืน

น้ำสะอาดเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุด
การดูแล
เด็กมีอายุระหว่างสองถึงสามขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนมเพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัวตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
การเจ็บปวดที่ฟัน
เป็นสิ่งปรกติสำหรับเด็ก ที่จะมีการเจ็บปวดที่ฟันโดยเฉพาะเด็กที่ “เริ่มหัดเดิน” มีแผลเลือดออกภายในบริเวณเยื่อบุผนังช่องปากแผลเหล่านี้จะหายเร็วและไม่ทิ้งล่องรอยปรากฏให้เห็น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเสมอสำหรับเด็กที่เริ่มหัดเดิน หากมีอาการเจ็บปวดภายในช่องปากควรรีบไปหาทันตแพทย์ และคอยติดตามตรวจดูหลังจาก 2-3 ชั่วโมง

การป้องกันรักษาฟันเด็ก

การรักษาความสะอาดภายในช่องปาก
ควรแปรงฟันวันละสองครั้ง โดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์อย่างพอเหมาะ ประมาณ 0.1%F- ควรแปรงฟันทันทีเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกงอกขึ้นมา ก่อนแปรงควรนวดเหงือกด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำและต้องคำนึงไว้เสมอว่า ปริมาณของสารฟลูออไรด์ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันของเด็ก แต่ละชนิดนั้นแตกต่างกันไป และไม่ควรปล่อยให้เด็กแปรงฟันโดยลำพัง จนกว่าเด็กอายุสิบขวบควรหัดให้เด็กแปรงฟันจนเป็นนิสัย
ฟลูออไรด์ ว่ากันว่าฟลูออไรด์เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์ต่อฟัน แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีในปริมาณที่เหมาะสม เพราะสารฟลูออไรด์นั้นมีความสำคัญต่อช่องปาก และเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ดีนอกจากนั้น ยังช่วยป้องกันโรคฟันผุได้ โดยสารฟลูออไรด์จะเข้าไปรวมตัวกับแคลเซียม ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของฟันในปัจจุบันนี้ไม่แนะนำให้ใช้ ฟลูออไรด์ชนิดรับประทานเพื่อป้องกันฟันผุ แต่ยังมีเด็กบางกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้ฟลูออไรด์ชนิดรับประทานอยู่ เพราะการแปรงฟันวันละสองครั้ง ยังไม่ได้รับสารฟลูออไรด์ในปริมาณที่เพียงพอในการใช้ฟลูออไรด์ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเริ่มใช้ และปฏิบัติตามวิธีการใช้อย่างเคร่งครัด และฟลูออไรด์นั้นมีประโยชน์สำหรับบุคคลทุกวัย

ฟันสวยยิ้มใส กับ 8 พฤติกรรมการแปรงฟันผิดวิธี


         ส่วนใหญ่แล้วการมองว่าการแปรงฟันเป็นเรื่องง่าย หลายคนจึงไม่ได้ใส่ใจเวลาแปรง เคยชินกับวิธีการแปรงแบบไหนก็ทำอย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าวิธีที่แปรงอยู่เป็นการรักษาฟันหรือทำลายฟันกันแน่
          รู้ไหมว่าการแปรงฟันที่ไม่ถูกสุขลักษณะนั้นจะส่งผลเสียต่อฟันของคุณอย่างมหาศาล และก่อให้เกิดโรคในช่องปาก เช่น ฟันผุ โรคเหงือก ซึ่งบอกให้รู้ว่าคนเรามักจะมีพฤติกรรมการแปรงฟันผิดๆ หลายอย่าง เรามาตรวจสอบตัวเองกันหน่อยดีกว่าว่าวิธีการแปรงฟันของคุณตรงกับข้างล่างกี่ข้อ จะได้แก้ไขก่อนจะเสียฟัน

 
1. แปรงฟันเร็วเกินไป
          ทันตแพทย์ Michael Lenchner กล่าวว่า โดยทั่วไปคนจะแปรงฟันเร็วมาก แต่ความจริงแล้วไม่ว่าคุณจะรีบเพื่อออกไปทำงาน หรืออยากจะล้มตัวลงนอนมากแค่ไหน คุณก็ต้องให้ความสำคัญกับการแปรงฟันด้วย คุณหมอจึงแนะนำว่า เพื่อสุขภาพฟันที่ดี ควรจะต้องใช้เวลาแปรงประมาณ 2-3 นาที



2. ไม่มองกระจกเวลาแปรงฟัน
          การแปรงฟันต้องส่องกระจกไปด้วย ดูว่าเราแปรงตรงไหนไปแล้วบ้าง แปรงทั่วทุกซอกทุกมุมหรือยัง เพราะบริเวณขอบเหงือก หรือช่วงรอยต่อระหว่างเหงือกกับฟันจะเป็นบริเวณที่สะสมของเชื้อแบคทีเรียหลากหลายชนิดจำนวนมาก ถ้าแปรงบริเวณนี้ไม่สะอาดคุณอาจจะเป็นโรคเหงืออักเสบ หรือ โรคอื่นๆ ที่เกิดจากแบคทีเรียบริเวณนี้ได้ โดยเฉพาะบริเวณฟันกรามซี่ท้ายก็เป็นอีกบริเวณหนึ่ง ที่ต้องใส่ใจทำความสะอาด เพราะอยู่ลึกถ้าไม่พิถีพิถันในการแปรง ฟันบริเวณนี้อาจจะผุ
          ดังนั้น การใส่ใจในการแปรงฟันจะทำให้คุณสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของฟัน เช่น ฟันแตก บิ่น ร้าว หรือร่องรอยของการนอนกัดฟัน การทำเช่นนี้จะทำให้คุณสังเกตสัญญาณบางอย่างของโรคนอนกัดฟัน โรคนอนไม่หลับ เพื่อจะได้สามารถแจ้งอาการเหล่านี้ให้ทันตแพทย์ทราบได้

3. ไม่รู้วิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง
          รู้หรือไม่ว่าเนื้อฟันของเราถูกห่อหุ้มด้วยเคลือบฟัน (Enamel) ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของฟัน ถ้าคุณแปรงฟันผิดวิธีตัวเคลือบฟันนี้ก็จะถูกทำลาย และส่งผลให้ฟันไม่แข็งแรง แตกง่าย ดังที่ทันตแพทย์ได้เปรียบเทียบการแปรงฟันที่ผิดวิธีว่าเหมือนกับการเลื่อยต้นไม้ เพราะถ้าเราแปรงผิดที่ก็เท่ากับว่าเรากำลังเลื่อยฟันของตัวเองอยู่ ดังนั้นเวลาแปรงฟันต้องให้ขนแปรงทำมุม 45 องศากับผิวฟัน และใช้ขนแปรงขัดฟันในทิศทางที่เป็นวงกลมค่อยๆ หมุนแปรงไปเรื่อยทีละซี่สองซี่ จนกระทั่งครบทุกซี่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของผิวฟัน
         ดังนั้น ฟันที่ใช้เคี้ยวอาหารหรือด้านบนของฟัน สามารถแปรงแบบตรงๆ โดยใช้ขนแปรงถูไปถูมาได้ สำคัญที่สุดอย่าลืมแปรงตรงบริเวณขอบเหงือกด้วย เนื่องจากบริเวณนี้จะมีการสะสมของแบคทีเรีย และเชื้อโรคมากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ และฟันผุ

 4. แปรงแรงเกินไป
          การที่เราแปรงฟันอย่างรุนแรงทำให้เคลือบฟัน (Enamel) ถูกทำลาย ถ้าฟันของคุณไม่แข็งแรงอยู่แล้ว และแปรงฟันเร็วจนเป็นนิสัยด้วย ก็ยิ่งทำให้ฟันของคุณสึกหรอ นอกจากนี้การแปรงฟันแรงเกินไปตรงบริเวณใกล้กับขอบเหงือกจะทำให้เหงือกร่นและเป็นโรค abraction lesions หรือโรคที่เกิดจากฟันถูกกระแทกแรง จนเกิดรอยแตกขึ้นและส่งผลให้เคลือบฟันเสียหาย หรือแม้แต่การกดน้ำหนักลงบนฟันบ่อยๆ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เคลือบฟันถูกทำลายไปถึงชั้นแคลเซียม

5. ใช้แปรงสีฟันไม่ถูกสุขลักษณะ
          แปรงสีฟันไม่ถูกสุขลักษณะ คือ แปรงที่มีขนแปรงแข็งกระด้าง เราควรใช้แปรงที่มีขนนุ่มเพื่อจะไม่ทำลายเคลือบฟัน และไม่ทำให้เหงือกเป็นแผล อย่างไรก็ตามแม้จะใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มแล้ว แต่ถ้าแปรงผิดวิธีก็สามารถเกิดผลเสียกับฟันได้ เช่น เกิดรอยที่ฟัน นอกจากนี้คุณหมอฟันยังแนะนำให้ใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า เพราะว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าจะช่วยให้คุณแปรงฟันได้นานตามเวลาที่คุณตั้งเอาไว้ และหัวแปรงจะหมุนเป็นวงกลม ซึ่งเป็นการแปรงฟันที่ถูกต้อง

6. ใช้ยาสีฟันไม่ถูกสุขลักษณะ
          ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเบกกิ้งโซดามากเกินไป แม้ว่ามันจะช่วยให้ฟันดูขาวขึ้น แต่มันจะไปทำลายเคลือบฟันด้วย คุณหมอจึงแนะนำว่าให้ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งเพราะจะไม่ทำลายเคลือบฟัน

7. ไม่ใช้ไหมขัดฟัน
          จริงๆ แล้วไหมขัดฟันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะสามารถทำความสะอาดในบริเวณที่เราแปรงสีฟันไม่ถึงได้ เช่น บริเวณระหว่างฟันสองซี่ ถ้าคุณไม่ใช้ไหมขัดฟันจะทำให้มีแบคทีเรีย รวมถึง คราบน้ำตาลสะสมอยู่บริเวณซอกฟัน และทำให้ฟันผุได้

การใช้ไหมขัดฟัน มีดังนี้
          1. พันไหมขัดฟันไว้ที่นิ้วชี้ทั้งสองข้าง และใช้นิ้วโป้งช่วยจับไหมขัดฟันไว้
          2. ใช้ไหมขัดฟันพันรอบฟันทีละซี่ ขัดขึ้น-ลง อย่าขัดข้างหน้า ขัดหลัง และอย่าขัดแรงเพราะจะทำให้เจ็บเหงือกได้
          3. ขณะขัดฟันไม่จำเป็นต้องขัดหน้ากระจก แต่ให้ขัดไปดูทีวีไปจะได้ไม่เบื่อ

 8. ไม่บ้วนปาก
          หลังจากทานอาหาร เสร็จแล้วถ้าคุณไม่ได้บ้วนปาก จะทำให้แบคทีเรียยังคงสะสมอยู่ในปาก เพราะฉะนั้นการบ้วนปากจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก การใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในปากด้วย แค่อมๆ แล้วบ้วนทิ้ง เป็นการช่วยให้เคลือบฟันแข็งแรงมากขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุด คุณก็ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
          หลังจากที่คุณได้อ่านและทราบพฤติกรรมการแปรงฟันที่ผิดสุขลักษณะแล้ว ลองตรวจดูวิธีการแปรงฟันของตัวเองดูนะค่ะ เพราะเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อยแบบนี้ แต่ความจริงแล้วมันส่งผลเสียกับสุขภาพฟันและช่องปากอย่างมหาศาลเลยล่ะค่ะ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการแปรงฟัน แล้วคุณจะมีรอยยิ้มที่สวยงาม ไม่ต้องอายใครเลยล่ะ

โตขึ้น หนูจะเป็นหมอฟัน


น้องๆ หนูๆ โตขึ้นมีใครอยากเป็น ทันตแพทย์(หมอฟัน) บ้างยกมือ! อยากรู้มั้ยว่าถ้าอยากโตไปเป็นหมอฟันต้องรู้อะไรบ้าง ทำอะไรยังไงบ้าง เดี๋ยววันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “โตขึ้น หนูจะเป็นหมอฟัน” ซึ่งผมเองได้ไปหาอ่านมาจากเว็บนู้นเว็บนี้ ส่วนมากจะเจอหัวข้อที่ว่า “อยากเป็นหมอฟันจะทำยังไงดี เรียนไม่เก่งจะเป็นหมอฟันได้หรือเปล่า ไม่มีเงินเรียนพิเศษ” และก็มีหลายๆ คนที่มีประสบการณ์มาเล่าแจ้งแถลงไขกันอย่างมากมาย โดยมีเนื้อความโดยรวมประมาณนี้
      สำหรับน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่อยากเรียนหรือเป็นหมอฟันหรือทันตแพทย์ ช่วงเรียนม.ปลาย แนะนำให้เรียนสายวิทย์-คณิต จะดีเพราะต้องใช้ความรู้ในด้านนี้เยอะ แล้วสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้ได้คือ ความขยัน มีความรับผิดชอบ และหมั่นอ่านหนังสือเยอะๆ เพื่อที่จะเตรียมสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย(มหาลัยไหนก็ได้ แต่อย่างที่รู้ๆ ยิ่งมีชื่อยิ่งยาก สมัยนี้)เพื่อศึกษาในสายของทันตแพทย์โดยตรง และการที่จะเป็นทันตแพทย์
จำเป็นต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1.  มีความรู้ความสามารถทางวิชาการ                   2.  มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก

3.  มีสติปัญญาดี                                                 4.  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

5.  รักและศรัทธาต่อวิชาชีพ                                 6.  เป็นผู้เสียสละ

7.  มีความมั่นใจในตนเอง                                                            8.  ชอบการให้บริการ

9.  ไม่รังเกลียดคนป่วย                                       10.  ชื่นชอบงานทดลอง  งานวิจัย

11.  อดทนต่อสภาพแรงกดดันได้ดี                      12.  มีความซื่อสัตย์

13. มีสุขภาพจิตดี  ใจดี  ใจเย็น

     


ถ้าน้องๆ คิดว่าคุณสมบัติข้างต้นเราสามารถทำได้ เรามีมันอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว แค่นี้เราเองก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะเอาจริงๆ ถ้าเราเรียนได้เกรดน้อย ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับเข้าศึกษาหรือทำงานในด้านนี้ อย่างที่รู้กันๆ เกรดไม่เป็นแค่เกณฑ์วัดในเรื่องของความรู้อย่างเดียว เพราะยังรวมไปถึงพฤติกรรม ความรับผิดชอบของเราด้วย เพราะอย่างนั้นทั้งเรื่องการเรียนและความประพฤติของเราให้ดี ก็มีสิทธิที่จะเป็นทันตแพทย์ได้ และสิ่งที่เพื่อนๆ น้องๆ จะได้ความรู้ต่างๆ ของทันตแพทย์อาทิเช่น การตรวจสุขภาพในช่องปาก, การถอนฟัน, การจัดฟัน, การอุดฟัน, การให้คำปรึกษาด้านการดูแลรักษาสุขภาพในช่องปาก, การครอบฟัน และอื่น ๆ
     ขอเตือนไว้ก่อนเพราะงานทันตแพทย์อาจทำให้หลายๆ คนอกหักก็เป็นได้ เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่สมัยนี้ บางทีเราอาจจะเรียนพอได้ เกรดไม่สวยเท่าไหร่ประมาณ 3.2 - 3.8 มีคุณสมบัติพร้อม แต่โดนแซงโค้งจากผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า “เด็กเส้น” หรือพวกมีสตางค์ บ้านใหญ่ สายแยะ พวกนี้ที่ทำให้โอกาสของหลายๆ คนหลุดลอยไปได้ ดังนั้นผมขอแนะนำว่าเราต้องอย่าท้อ สู้ๆ ขยันๆ ความรู้ความสามารถเรามี ถึงจะไม่ดีพอ แต่ก็ดีพอที่จะรักในสิ่งที่ตัวเองรัก และทำอย่างตั้งใจ
     สุดท้ายนี้ ขอฝากนิดนึง ผมเชื่อว่าหลายๆ ต้องทำได้ หลายคนอาจได้ทำงานอย่างสมใจ แต่อีกหลายๆ อาจไม่ได้ แต่อย่าพึ่งหมดหวังครับ เพราะอาชีพนี้เป็นที่น่าจับตามองในยุคนี้ พ.ศ. นี้มาก เนื่องจากปัจจุบันสาขาทันตแพทย์ เป็นอาชีพที่หลายๆ คนใฝ่ฝันอยากเป็น อาชีพหมอฟันเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ได้ดี เพราะผู้คนในยุคปัจจุบันชื่นชอบการจัดฟัน การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและสุขภาพฟันเยอะ เพราะฉะนั้น สู้ๆ ครับ ^^ สวัสดีครับ

การจัดฟันแบบถอดออกได้โดยไม่เห็นเครื่องมือ (Invisalign)

    สวัสดีค่ะ วันนี้เราก็มาพูดคุยกันเรื่องเกี่ยวกับการจัดฟันอีกแล้ว แต่วันนี้ขอกล่าวถึงการจัดฟันรูปแบบใหม่ล่าสุดที่มีในตอนนี้เลยก็คือการจัดฟันแบบถอดได้โดยไม่เห็นเครื่องมือหรือInvisalign การจัดฟันแบบนี้เป็นการจัดที่ดิฉันเองคิดว่ามันเจ๋งสุดๆ ไปเลยค่ะเพื่อนๆ เพราะขณะที่เราจัดฟันอยู่คนทั่วๆ ไปจะมองเห็นตัวเครื่องมือได้ยาก นั่นก็หมายความว่าเขาแทบจะไม่รู้เลยว่าตอนนี้เราใส่เครื่องมือ ด้วยคุณลักษณะของตัวอุปกรณ์เองเป็นแบบใสและมีขนาดบางมากๆ ทำให้ยากต่อการสังเกต เราไปทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดฟันประเภทนี้กันเลยดีกว่านะคะ เผื่อมีเพื่อนๆ สนใจจะจัดฟันก็จะได้มีข้อมูลไว้เปรียบเทียบกับการจัดฟันประเภทอื่นๆ


     การจัดฟันแบบถอดได้ไม่เห็นเครื่องมือ ถือเป็นอีกนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้เพราะเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาการเรียบตัวของฟันให้กลับมามีความสวยงามและเหมาะสม โดยเครื่องมือจัดฟันชนิดนี้จะมีความใสซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อคนไข้แต่ละคนโดยเฉพาะ และสามารถถอดออกได้เมื่อต้องการ โดยทันตแพทย์จะทำแผนการรักษาทุกท่านกับทันตแพทย์จัดฟันของบริษัทในอเมริกา และแสดงผลการรักษาแก่เราโดยแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มการรักษาให้คนไข้แต่ละคน โดยขณะสวมใส่เครื่องมือจัดฟันประเภทนี้ยากที่ผู้ใดจะมองเห็นว่าเราจัดฟันอยู่

     แต่การจัดฟันประเภทนี้มีราคาที่ค่อนข้างสูง ตกอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 180,000 บาท เลยทีเดียวค่ะ ที่อุปกรณ์แพงอาจเป็นเพราะว่าตัวอุปกรณ์ที่มีลักษณะใสๆ นั้นต้องผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และตัวอุปกรณ์เป็นการรวมเทคโนโลยีหลายๆ ด้านเพื่อให้สังเกตได้ยาก แต่ก็ยังสามารถปรับสภาพฟันไปในตัวได้ด้วย ตัวอุปกรณ์นี้การใส่ก็ไม่ยากค่ะเพราะจะถูกออกแบบมาสำหรับปากและฟันของเราโดยเฉพาะ เพื่อนๆ สงสัยกันไหมว่าเอ...แล้วแบบนี้ใส่ไปฟันจะเรียงตัวกันสวยได้จริงๆ หรอ เป็นความจริงค่ะฟันเราจะสามารถเรียงตัวได้สวยแต่จะเรียงตัวได้นั้นต้องมีการเปลี่ยนตัวเครื่องมือหรือเรียกว่าการปรับอุปกรณ์ก็ได้ค่ะ โดยจะเข้าพบแพทย์ทุกๆ 6 - 8 สัปดาห์ เครื่องมือจะถูกเปลี่ยนใหม่ นั่นหมายความว่าเครื่องมือชิ้นใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นและส่งตรงมาจากอเมริกา ซึ่งจะต้องค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จสิ้นการรักษา โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ระยะเวลาในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 1 - 2 ปี อันนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพฟันของเรานะคะ

     แน่นอนค่ะการใส่ที่จัดฟันประเภทนี้ค่อนข้างสบายและดูแลได้ง่ายกว่าการมีอุปกรณ์ติดอยู่ที่ฟัน แถมยังสังเกตได้ยากอีกว่าเราจัดฟัน แต่การจัดแบบนี้ต้องอาศัยความมีระเบียบในตัวของผู้จัดฟันเองค่ะ เพราะว่าเนื่องด้วยตัวอุปกรณ์ไม่ได้ติดอยู่กับตัวผิวฟัน แถมยังสามารถถอดออกได้ อาจทำให้เราลืมใส่ถ้าลืมใส่เป็นประจำการรักษาก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ แถมเสียเงินไปเปล่าๆ อีกด้วย การจัดฟันประเภทนี้นิยมกันมาในหมู่นักร้อง ดารา เพราะบุคคลพวกนี้ด้วยอาชีพแล้วไม่เหมาะอย่างยิ่งในการใส่เหล็กจัดฟัน ถึงจะราคาสูงไปนิด แต่เมื่อแลกกับการมีเหล็กติดอยู่ก็ถือว่าคุ้มสำหรับคนกลุ่มนี้ค่ะ ส่วนการดูแลรักษาก็ไม่ยากค่ะเพราะเราสามารถถอดอุปกรณ์ออกมาทำความสะอาดได้เลย ^^

     ค่ะเป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดฟันแบบถอดออกได้โดยไม่เห็นเครื่องมือ หรือ Invisalign เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจก็แนะนำเข้าปรึกษาทันตแพทย์โดยตรงอีกครั้งค่ะ เพราะกว่าบางทีปากและฟันของเราอาจจะไม่เหมาะกับการจัดฟันประเภทนี้ก็เป็นได้

การรักษารากฟัน



มีผู้ป่วยหลายรายที่ละเลยปล่อยให้ฟันผุแล้วไม่รักษาทำให้โรคฟันลุกลามทำลายสุขภาพฟันมากขึ้นจนถึงชั้นโพรงประสาทฟัน เกิดการอักเสบที่ปลายรากฟัน มีอาการปวดทรมาน ทั้งยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคที่ทำลายสุขภาพร่างกายด้วย
           แต่อย่างไรก็ยังมีวิธีการรักษาอยู่  เพียงแต่จะยุ่งยากและสลับซับซ้อนต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จตามต้องการ จึงจำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์หลายครั้งในการรักษารากฟัน
         วิธีการรักษารากฟัน คือ ถ้าฟันของผู้ป่วยมีการติดเชื้อในโพรงประสาท การควรรักษาก่อนจะรักษารากฟัน  โดยการใส่ยาประเภทแคลเซียมไฮดรอกไซด์ เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ เมื่อมั่นใจแล้วว่าภายในคลองรากฟันปราศจากเชื้อ จึงทำการอุด และครอบฟันต่อไป 

ขั้นตอนในการรักษารากฟัน มีดังนี้
       เริ่มจากกรอฟันหาคลองรากฟันซึ่งเป็นรูเล็กๆอยู่ต่อจากโพรงประสาทถึงปลายรากฟัน 
       จากนั้นก็ทำการขยายคลองรากฟันให้ใหญ่ขึ้น เพื่อใช้น้ำยาล้างซับให้แห้งและใส่ยาฆ่าเชื้อโรคได้
       ปิดโพรงประสาทฟันด้วยวัสดุอุดชั่วคราว เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ประมาณ 3 ถึง 7 วัน 
       ล้างและขยายคลองรากฟันพร้อมทั้งเปลี่ยนยาฆ่าเชื้อโรคใหม่ และอุดปิดโพรงประสาทฟันด้วยวัสดุอุดชั่วคราวอีกครั้ง ทำเช่นนี้ 4 - 5 ครั้ง จนกว่าหนองจะแห้ง ไม่มีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกตกค้าง
       เมื่อหนองแห้งไม่มีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกตกค้างแล้ว ทันตแพทย์ก็จะทำการอุดปิดโพรงประสาทฟันถาวร   อุดตั้งแต่ปลายรากฟันถึงพื้นโพรงประสาทฟันและปิดทับด้วยวัสดุทางทันตกรรมจำพวกซีเมนต์และ Amalgum  ซึ่งมีสีคล้ายเงินมีคุณสมบัติให้ความแข็งแรงได้ดี จึงใช้อุดฟันกรามที่ต้องรับแรงบดเคี้ยวมากๆ สำหรับฟันหน้าไม่ต้องรับแรงบดเคี้ยวมาก ก็จะอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟันธรรมชาติ 
       ทันตแพทย์จะทิ้งระยะเพื่อรอดูอาการซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของฟันของผู้ป่วย และหากแน่ใจแล้วว่าการรักษารากฟันประสบความสำเร็จ ทันตแพทย์จะทำการครอบฟันให้กับผู้ป่วยด้วยวัสดุตามความเหมาะสม


               ในการรักษารากฟันนั้น สามารถเก็บรักษาฟันไว้ใช้งานได้ต่อไป ซึ่งจะดีกว่าการใส่ฟันปลอมเพราะฟันที่รักษารากฟันแล้วก็เหมือนฟันในปากซี่อื่นๆคือ มีเบ้ากระดูกยึดให้ฟันมั่นคงแข็งแรง และให้ความรู้สึกในการใช้งานที่ดีกว่าการใส่ฟันปลอม

เคล็ด(ไม่)ลับดูแลสุขภาพฟัน


หลีกเลี่ยงการดูดบุหรี่และดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ
          การที่คุณสูบบุหรี่ไปแล้วดื่มน้ำอัดลมไปเวลาพักทานข้าวเที่ยงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ เพราะสารจากบุหรี่กับกรดและน้ำตาลจากน้ำอัดลมจะเข้าไปเกาะเคลือบฟันของคุณ และยิ่งนานวันเข้าฟันของคุณก็จะเหลืองน่าเกลียด ถ้าร้ายกว่าอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งในช่องปากได้เลยล่ะ


 ทานอาหารที่ช่วยให้ฟันของคุณแข็งแรง
          การรับประทานอาหารจากนมที่มีแคลเซียมซึ่งสามารถช่วยให้ฟันของคุณแข็งแรงได้ หัวหอมก็ที่มีกรดที่ช่วยป้องกันแบคทีเรีย หรือแค่คุณเคี้ยวหมากฝรั่งก็ช่วยป้องกันแบคทีเรีย ลดฟันผุ แถมลมหายใจของคุณก็สดชื่นขึ้นด้วย แต่แนะนำเลือกหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของไซลิทอลที่ให้ความแทนน้ำตาลเพื่อช่วยป้องกันฟันผุมาเคี้ยวนะ


 อย่าแปรงฟันทันทีหลังทานอาหารเสร็จ
          พฤติกรรมเช่นนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว แต่การที่คุณพักซัก 30 นาทีก่อน แล้วค่อยแปรงฟันจะช่วยขจัดเศษอาหารที่ฟันและสารต่าง ๆ ที่เคลือบฟันของคุณได้ดีกว่าการที่แปรงโดยทันที


 ขูดหินปูนเป็นประจำ
          หินปูนเกิดจากการที่คุณแปรงฟันไม่สะอาดจนคราบแบคทีเรียสะสม ซึ่งนอกจากจะทำให้ฟันของคุณดูเหลืองสกปรกแล้ว ยังอาจทำให้ฟันผุและเป็นโรคเหงือกได้ ฉะนั้นเมื่อฟันของคุณมีหินปูน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูน เพื่อให้ฟันดูขาวสะอาดขึ้น และไม่ให้หินปูนหนาเกินไป รวมทั้งรักษาฟันของคุณได้ทันท่วงที


 ทำความสะอาดลิ้นด้วย
          การที่เรามีลมหายใจเหม็นอาจจะเป็นเพราะมีแบคทีเรียสะสมอยู่ที่ลิ้นก็เป็นได้ เช่นนั้นแล้วหลังจากที่คุณแปรงฟันเสร็จ ควรแปรงลิ้นของคุณหรือใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้นโดยเฉพาะ จะช่วยลดแบคทีเรียที่กระจายอยู่ภายในช่องปากของคุณ

 เก็บดูแลรักษาแปรงของคุณไว้ในที่สะอาดอยู่เสมอ
          เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ทุกคนจะเก็บแปรงสีฟันของตัวเองไว้ในห้องน้ำ แต่ถ้าคุณเก็บแปรงไว้ในที่โล่ง แบคทีเรียที่ลอยอยู่ในอากาศอาจลอยไปติดแปรงของคุณได้ ล้างแปรงด้วยน้ำอุ่นหลังใช้งานแล้วเก็บไว้ในลิ้นชักหรือตู้จะช่วยให้แปรงของคุณสะอาดและปราศจากสิ่งสกปรก


 อย่าลืมเปลี่ยนแปรง
          ตามโดยทั่วไปแล้วต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันที่ใช้แล้วทุก ๆ 3 เดือน ถึงแม้คุณจะคิดว่าแปรงของคุณยังดูใหม่อยู่เลย แต่แปรงเมื่อใช้นานเข้าจะมีเชื้อโรคสะสมอยู่ ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ถ้าคุณยังขืนทนใช้แปรงเก่าต่อไปอาจทำให้คุณป่วยเอาง่าย ๆ


 พบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
          ทุกท่านอย่างน้อยต้องไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ใครจะไปรู้ว่า คุณอาจจะเจอปัญหาหาสุขภาพฟันขนานใหญ่แต่สามารถรักษาได้ทัน ทางที่ดีควรไปตรวจสุขภาพฟันและช่องปากของคุณดูบ้าง เพื่อที่จะไม่มีโรคในช่องปากต่าง ๆ ถามหา


 ใช้ไหมขัดฟันอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง
          การขัดฟันด้วยไหมขัดฟัน คือ การช่วยขจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่อยู่ในฟัน ซึ่งใช้สำหรับจุดที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึงเช่น ซอกฟันหรือใต้ร่องเหงือก ซึ่งใช้เวลาในการทำความสะอาดไม่ถึง 5 นาที เพื่อให้ฟันของคุณสะอาดยิ่งขึ้น


 แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที
          การแปรงฟันเป็นวิธีการรักษาสุขภาพฟันเบื้องต้นที่ดีที่สุด ดังนั้นควรแปรงให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน โดยแปรงทำความสะอาดให้ทั่ว ซึ่งการแปรงฟันใช้เวลาแค่ 2 นาทีก็เสร็จ ไม่เสียเวลาแต่อย่างใด ทว่าอย่าแปรงนานจนเกินไปเพราะจะทำให้ฟันคุณสึกได้