ทันตกรรมจัดฟันคืออะไร

ทันตกรรมจัดฟันคืออะไร

ทันตกรรมจัดฟัน คือ สาขาหนึ่งของทันตกรรมซึ่งจะเกี่ยวข้องกับกับการแก้ไขฟันและขากรรไกรที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ฟันยื่นและฟันที่ขบกันไม่พอดีจะทำให้ยากต่อการทำความสะอาดสุขภาพฟัน และมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียสุขภาพฟันก่อนวัยอันควรเนื่องมาจากฟันผุและโรคเหงือก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการกดทับต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาการปวดที่ข้อต่อขากรรไกร คอ ไหล่ และหลังได้     ฟันที่ยื่นหรือไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ยังทำลายบุคลิกภาพ และเป็นสาเหตุให้สุขภาพฟันเสียอีกด้วย

ประโยชน์ของการทำทันตกรรมจัดฟันนั้นรวมถึงสุขภาพฟันและปาก ที่แข็งแรงขึ้น ลักษณะบุคลิกภาพที่น่าพึงพอใจกว่าเดิม และสุขภาพฟันที่ดีสามารถจะคงทนไปตลอดชีวิต
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ที่สามารถจะทำทันตกรรมจัดฟันได้ต้อง ใช้เวลา 2 ปี หรือมากกว่านั้นในการศึกษาในโปรแกรมที่ได้รับการรับรองจาก American Dental Association (ADA) นอกเหนือจากเวลา 4 ปีในโรงเรียนทันตแพทย์

เหตุผลที่เราต้องการทันตกรรมจัดฟัน
มีเพียงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในด้านการทำทันตกรรมจัดฟันเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินได้ว่าคุณควรจะต้องรับการทำทันตกรรมจัดฟันหรือไม่ จากการวินิจฉัยด้วยประวัติการรักษาทางการแพทย์และทันตกรรม การตรวจใน คลินิกแบบพิมพ์ฟันของคุณ และภาพเอ็กซเรย์ของสุขภาพฟัน

คุณจะต้องรับการทำทันตกรรมจัดฟันหากคุณมีปัญหาต่อไปนี้
1. ฟันบนยื่น =ฟันบนยื่นออกมาข้างหน้ามากจนเกินไป
2. ฟันล่างยื่น=ฟันล่างยื่นออกมาข้างหน้ามากจนเกินไป
3. ฟันกัดคร่อม =ฟันบนไม่สามารถขบได้พอดีกับฟันล่าง มีลักษณะขบแบบไขว้
4. ฟันสบเปิด=เมื่อขบฟันแล้วมีช่องว่างเปิดระหว่างฟันบนกับฟันล่าง
5. ฟันกัดเบี้ยว=จุดศูนย์กลางของฟันบนไม่ตรงกับฟันล่าง
6. ฟันห่าง=มีช่องว่างระหว่างฟันที่เกิดจากฟันหลุดหรือฟันที่ขึ้นไม่เต็ม
7. ฟันซ้อน= ฟันที่ขึ้นมามากเกินไปจนเกทับกัน

การรักษาด้วยการทำทันตกรรมจัดฟันเป็นอย่างไร 
การรักษาด้วยการทำทันตกรรมจัดฟันมีหลายวิธีที่จะช่วยในการจัดฟัน จัดระเบียบกล้ามเนื้อและขากรรไกร โดยมีทั้งที่เป็นแบบติดถาวรและแบบถอดออกได้ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะทำการดัดฟันและขากรรไกรแบบนุ่มนวล ความรุนแรงของปัญหาของคุณจะเป็นตัวตัดสินว่าวิธีการทำทันตกรรมจัดฟันแบบใดที่จะมีประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพฟันมากที่สุด

พาลูกไปทำฟัน

พาลูกไปทำฟัน

       ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองหันมาสนใจดูแลสุขภาพฟันของเด็ก ๆ กันมากขึ้นมาก็จริงอยู่ แต่ยังพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พาลูกไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสันนิษฐานว่าไม่ทราบว่าต้องพาลูกมาพบทันตแพทย์เมื่อใด ถ้าลูกไม่มีอาการปวดฟันจะมาพบทันตแพทย์ได้หรือไม่ และถ้าได้ ทันตแพทย์จะทำอะไรกับลูกของตน ประกอบกับข่าวที่เกิดขึ้นตามสื่อต่างๆในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจที่จะพาลูกไปพบทันตแพทย์ เรามีคำแนะนำแก่คุณพ่อคุณแม่และท่านผู้ปกครองดังนี้

       โดยเริ่มต้นเลยคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นดูแลสุขภาพฟันเด็ก โดยการตรวจดูฟัน ตรวจดูสภาพช่องปากของเด็กอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน และควรพาไปพบทันตแพทย์เมื่ออายุ 1 -2  ปี หรือเมื่อฟันน้ำนมขึ้นครบ 20 ซี่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับคลินิกทันตกรรม ซึ่งผู้ปกครองอาจอธิบายให้เด็กทราบถึงการมาทำฟันว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้ฟันแข็งแรง ฟันไม่ผุ ไม่ปวดฟัน และควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่ฟังดูน่ากลัว เช่น เข็ม แทง ถอนฟัน เจ็บ เป็นต้น

การพาเด็กมาพบทันตแพทย์ที่คลินิกทันตกรรมครั้งแรก เด็กอาจจะร้องให้งอแง ไม่ให้ความร่วมมือ คุณพ่อ คุณแม่ไม่ควรตกใจ อาย หรือดุเพื่อให้เด็กเงียบ เพราะนั่นจะทำให้เด็กยิ่งเกลียดและกลัวการทำฟันมากขึ้น และรู้สึกว่าการทำฟันทำให้เขาถูกดุหรือถูกตี ทั้งนี้การทำฟันครั้งแรก ทันตแพทย์จะทำฟันง่ายๆที่ไม่มีความเจ็บปวด เช่น การขัดฟัน การเคลือบฟลูออไรด์การเอ็กซเรย์ฟัน เป็นต้น แล้วจึงนัดมาทำการรักษาที่ซับซ้อนในภายหลัง  ซึ่งการพาเด็กมาทำฟันในขณะที่เด็กไม่มีฟันผุเลย เด็กมักจะร่วมมือได้ดีและ เข้าใจเหตุผลได้ดีกว่า การพาเด็กมารักษาหลังจากที่มีอาการเกิดขึ้นแล้ว

 กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือในระหว่างทำผูปกครองไม่ควรเข้าไปจัดการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทันตแพทย์ การพูดสอดแทรกกับทันตแพทย์อาจทำให้เด็กสับสน การแสดงสีหน้าท่าทางลุกลนอาจทำให้เด็กเกิดความกังวลและไม่มั่นใจ จนไม่ยอมร่วมมือกับทันตแพทย์ การไม่เข้าไปในห้องทันตกรรมจะช่วยให้เด็กมีพฤติกรรมร่วมมือในการทำฟันดีขึ้น

คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเมื่ออ่านบทความนี้แล้ว ควรที่จะตระหนักถึงการพาเด็กไปพบทันตแพทย์ เพื่อสร้างบรรยากาศความคุ้นเคย และเพื่อให้เด็กสามารถที่จะปรับตัว และให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ดี ในการทำทันตกรรมต่าง ๆ เพื่อสุขภาพปากและฟันของเด็ก ๆ จะได้ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก หรือการขาดเรียนเพราะปวดฟัน จนคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองไม่เป็นอันทำงาน 

คลินิกทำฟันเถื่อน

คลินิกทำฟันเถื่อน

เริ่มแรกหากใครคิดที่จะลองทำทันตกรรมต้องคิดดีๆ และหาข้อมูลมา ๆ อาจจะหาจากคนในครอบครัว หรือเพื่อนๆ คนรู้จัก ว่าเคยทำฟันที่ไหนกันบ้าง ไปทำฟันที่ไหนรู้สึกดี๊ดี คุณหมอน่ารัก และอยากไปที่เดิมอีก โดยมากคนไข้ที่ทำฟันประจำมักจะชอบใจในอัธยาศัยของทันตแพทย์ประจำตัว ประมาณว่า อยากทำฟันกับหมอฟันที่คุยกันฉันมิตรมากกว่าที่จะไปพบหมอฟันที่ไม่คุ้นเคย เมื่อเพื่อนแนะนำก็น่าลองไปทำฟันด้วยมากกว่าไปหาหมอฟันที่ไม่มีใครรู้จักจริงไหมละ ไหนๆ ก็ต้องรักษา ต้องเจ็บตัว ต้องจ่ายตังแล้วนี่นา ดีไม่ดี กลับมาด่าเพื่อนตัวเองทีหลังก็ยังได้ จริงป่ะ ในที่นี้จะเน้นถึงคลินิกทำฟันเดี่ยว ที่รักษาฟันอย่างเดียวและไม่ใช่โพลีคลินิกที่มีเเพทย์รักษาร่างกาย ประจำอยู่ด้วย คลินิกทำฟันปัจจุบันมีเยอะมาก แทบจะกระจายอยู่ทุกซอยก็ว่าได้ และเป็นคลินิกประเภทหนึ่งที่มีคลินิกปลอมเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกทำฟันมาให้เพื่อจะไม่ได้เข้าไปคลินิกเถื่อนกัน

คลินิคทำฟันเถื่อน

             ก่อนก้าวเข้าคลินิกทำฟันแหงนหน้ามองดูป้ายหน้าคลินิกทำฟันซึ่งมักจะอยู่ติดๆ กับป้ายชื่อเฉพาะของแต่ละคลินิกทำฟัน ป้ายนี้เป็นป้ายบังคับติดซึ่งมีพื้นสีขาว ตัวหนังสือสีม่วง แสดงชื่อเฉพาะของสถานพยาบาลและ เลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ป้ายนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ติดตั้งใกล้ๆ ป้ายสารพัดสีของคลินิกทำฟันนั้นๆ ในทุกคลินิกที่ลงทะเบียนเป็นผู้ดำเนินกิจการสถานพยาบาล หากเป็นคลินิกแพทย์ก็จะใช้ตัวอักษรสีเขียวอะไรทำนองนี้นะคะ เมื่อเห็นป้ายคล้ายๆแบบนี้แล้ว เห็นชื่อ เห็นเลขทะเบียนสถานพยาบาลชัดเจน ก็สบายใจได้นิดหน่อย  แล้วเดินก้าวเข้าประตูคลินิกทำฟันได้เลย

             ซึ่งในทุกๆ ปีเจ้าของสถานพยาบาลจะต้องไปต่อทะเบียนสถานพยาบาลโดยนำใบอนุญาตให้ ประกอบกิจการสถานพยาบาล และ ใบอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาล ไปติดต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั้นๆที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ หรือที่กองประกอบโรคศิลป์สำหรับสถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร บางคลินิกก็อาจติดใบอนุญาต ใบนี้ให้เห็นๆ กันไปเลยแต่บางคลินิกก็อาจติดลึกลับหน่อย


             แต่ป้ายที่จำเป็นต้องติดและจำเป็นต้องประกาศก้องให้โลกใบนี้รับรู้ว่า ผู้ใดคือผู้จดทะเบียนสถานประกอบการนี้คือ ป้ายที่จะเห็นหน้าตาทันตแพทย์ผู้จดทะเบียนสถานพยาบาลและเลข ปีพ.ศ. ที่ต่อทะเบียนแล้วอย่างชัดเจนค่ะ ชื่อ และใบอนุญาตเลขที่ ท._xxxx_เป็นข้อมูลสำคัญที่คนไข้ผู้รับการรักษาทันตกรรมควรทราบและจดเอาไว้บ้างละ แม้ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาอาจไม่ใช่ทันตแพทย์เจ้าของคลินิกผู้จดทะเบียน แต่เราจดไว้ก็ไม่เสียหลาย ที่ต้องรู้แน่ๆ คือทันตแพทย์ผู้ที่รักษาฟันให้เราชื่ออะไร มีเลข ท. อะไร (เลขที่ขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลป์จะเป็นการยืนยันตัวตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทันตแพทย์ที่ได้รับรองตัวจริง) เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองเราต้องทราบว่าเราฝากปากและฟันของเราไว้ให้ใครดูแล ทุกท่านสามารถขอนามบัตรทันตแพทย์ที่ผู้ให้การรักษาจากประชาสัมพันธ์คลินิก ที่ทำบัตรคนไข้ หรือถามหาจากทันตแพทย์โดยตรงได้เลยค่ะ ถ้าไม่ยอมให้ก็น่าสงสัยแล้วล่ะ

             ยังมีป้ายอื่นๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณะสุขออกข้อบังคับมาให้ติดบริเวณคลินิกทันตกรรม เช่น ป้ายใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรม,ป้ายบอกราคาเบื้องต้น,ป้ายคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย,ป้ายห้ามสูบบุหรี่,ป้ายบอกเวลาทำการ วันเปิดปิดของคลินิกทันตกรรม,ป้ายชื่อทันตแพทย์ประจำคลินิกทำฟันดังนั้นก่อนตัดสินใจทำบัตรคนไข้ลอง เมียงมองหาป้ายเหล่านี้ดูอย่างน้อยๆ ก็เป็นข้อบังคับเบื้องต้นทีสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ทุกๆสถานพยาบาลคลินิกทันตกรรมที่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขต้องมีป้ายต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วแสดงไว้ให้เห็นด้านหน้าบริเวณทำบัตรคนไข้ใหม่

ปัญหาทางทันตกรรมมีอะไรบ้างที่วัยรุ่นควรจะรู้


สุขภาพฟันเบื้องต้น

     • การจัดฟัน - วัยรุ่น และวัยก่อนวัยรุ่นหลายๆ คนอาจต้องได้รับการจัดฟันเพื่อแก้ปัญหาฟันยื่นหรือฟันเก และขากรรไกรผิดปกติ ฟันที่ขบกันไม่พอดีจะยากต่อการทำความสะอาด ทำให้เกิดโอกาสหลุดก่อนวัยได้ง่ายขึ้น และเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวอาหาร ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟันจะเป็นคนบอกว่าคุณต้องรับการจัดฟันหรือไม่ และการจัดฟันแบบใดที่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณรับการจัดฟันอยู่ ต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษในการรักษาความสะอาดของฟัน
     • ยางกัดฟัน - ถ้าคุณเล่นกีฬา ยางกัดฟันป็นอุปกรณ์สำคัญในปกป้องรอยยิ้มของคุณ อุปกรณ์ชนิดนี้จะคลุมฟันบน เพื่อให้สามารถปกป้องการแตกหักของฟัน การกัดริมฝีปาก และอันตรายอื่น ๆ ต่อปาก ถ้าคุณรับการทันตกรรมอยู่ หรือใส่อุปกรณ์ถาวรอื่นๆ ที่ขากรรไกรล่าง ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใส่อุปกรณ์เพื่อปกป้องฟันเหล่านั้นเช่นกัน
     • โภชนาการ - โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพปากและสุขภาพฟัน แป้งและน้ำตาลในขนมและเครื่องดื่มหลายๆ ชนิดทำให้เกิดการก่อตัวของคราบแบคทีเรียซึ่งไปทำลายสารเคลือบฟัน ควรจำกัดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาล แต่ละครั้งที่เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาลฟันของเรา จะถูกทำลายโดยกรดเป็นเวลา 20 นาที การรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนทั้ง 5 หมู่จะเป็นผลดีต่อสุขภาพปากและฟันของคุณเป็นอย่างมาก สำหรับอาหารว่าง ควรรับประทานอาหารจำพวกเนยแข็ง ผักสด โยเกิร์ต หรือผลไม้
     • การสูบบุหรี่ - ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือเคี้ยวใบยาสูบก็ไม่ควรจะเริ่ม นอกเหนือจากปัญหาสุขภาพแล้ว การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดคราบบนฟันและเหงือก และกลิ่นปาก ในระยะยาว การเคี้ยวใบยาสูบ การสูบบุหรี่หรือซิการ์จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งปากและเหงือก ถ้าคุณสูบบุหรี่อยู่ ควรแจ้งให้ทันตแพทย์และแพทย์ของคุณทราบ รวมทั้งแจ้งทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับช่องปากของคุณด้วย
     • การเจาะในช่องปาก - แม้ว่าจะเป็นที่นิยมก็ตาม การเจาะในช่องปากสามารถก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เข่น การติดเชื้อ เลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเส้นประสาทถูกทำลาย คุณอาจสำลักจากการที่สิ่งเหล่านั้นหลุดไปติดในลำคอ หรือไปกระทบทำให้ฟันแตกและทำลายเหงือก ถ้าคุณกำลังคิดจะเจาะ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
     • ความผิดปกติในการรับประทาน - ทั้งบูลิเมีย (การรับประทานและอาเจียน) และอโนเร็กเซีย (ความกลัวน้ำหนักเพิ่ม ซึ่งมักจะส่งให้เกิดการอาเจียน) เป็นความผิดปกติที่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อลักษณะของฟัน โดยจะทำลายสารเคลือบฟัน แม้ว่าทันตแพทย์จะสามารถรักษาสารเคลือบฟันที่ถูกทำลายไปได้ แต่ทันตแพทย์ไม่สามารถรักษาปัญหาเรื่องการรับประทานซึ่งอาจเป็นอันตรายถึง ชีวิต โดยอาการเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการแก้ปัญหาทางจิตเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตน เอง และการควบคุมตนเอง ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวการรับประทาน หรือคิดว่าจะมี ควรปรึกษาแพทย์
     ปัญหาทางทันตกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลาของการเป็นวัยรุ่น การเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นจะทำให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นและถูกต้อง






การดูแลสุขภาพฟันของทารก

เราจะดูแลฟันของทารกอย่างไร
     การดูแลปากและฟันที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต แม้กระทั่งก่อนที่ฟันซี่แรกของเด็กจะขึ้น มีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อรูปลักษณ์และสุขภาพในอนาคตของเด็ก อาทิเช่น ยาเตตราซัยคลีน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้อย่างแพร่หลายชนิดหนึ่ง สามารถทำให้เกิดฟันเปลี่ยนสี ด้วยเหตุผลนี้เอง แม่ที่ให้นมลูกและหญิงตั้งครรภ์ในช่วงครึ่งสุดท้ายจึงไม่ควรใช้
     เนื่องจากฟันของเด็กทารกจะขึ้นในช่วงอายุ 6 เดือน การดูแลปากและฟันโดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันจึงยังไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ทารกก็มีความต้องการในการดูแลปากและฟันเป็นพิเศษที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จำ เป็นควรทราบ ซึ่งรวมถึงการป้องกันฟันผุจากขวดนม และการให้ฟลูออไรด์แก่ทารกในปริมาณที่เหมาะสม

ฟันผุจากขวดนมคืออะไร และเราจะสามารถป้องกันได้อย่างไร
     ฟันผุจากขวดนมเกิดจากการที่ฟันของเด็กสัมผัสถูกของเหลวที่มีน้ำตาลบ่อยและ นาน ซึ่งของเหลวนี้รวมถึงนม และน้ำผลไม้ การที่ของเหลวหวานอยู่ในปากเด็กเป็นเวลานานในช่วงเวลาหลับจะนำไปสู่ฟันผุที่ ฟันหน้าทั้งบนและล่าง ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่ควรปล่อยให้เด็กหลับโดยที่มีขวดนมอยู่ในปาก โดยควรจะให้เป็นขวดที่มีน้ำเปล่าหรือจุกนมหลอกแทน ถ้าคุณให้นมลูกด้วยตนเอง ไม่ควรปล่อยให้เด็กดูดนมเป็นเวลาต่อเนื่อง และหลังจากให้นมเสร็จแล้ว ต้องเช็ดฟันและเหงือกของเด็กด้วยผ้าสะอาดที่เปียกหมาดๆ หรือผ้ากอซ

ฟลูออไรด์คืออะไร และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทารกได้รับในปริมาณที่เหมาะสม
     ฟลูออไรด์มีประโยชน์แม้กระทั่งก่อนที่ฟันจะขึ้น โดยฟลูออไรด์นั้นจะช่วยทำให้สารเคลือบฟันแข็งแรงในขณะที่ฟันกำลังก่อตัว ในน้ำประปาของหลายๆ พื้นที่ได้มีการใส่ฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาการของฟันที่ดี ควรติดต่อสำนักงานประปาในเขตของคุณเพื่อสอบถามว่าน้ำประปาของคุณมีการเติม ฟลูออไรด์หรือไม่ ถ้าไม่มีหรือมีในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือกุมารแพทย์เพื่อรับอาหารเสริมฟลูออไรด์สำหรับทารก ถ้าคุณใช้น้ำดื่มบรรจุขวดในการดื่มและทำอาหาร ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ เพราะคุณอาจต้องการอาหารเสริมฟลูออไรด์สำหรับทารกด้วยเช่นกัน

ปัญหา “ฟันซ้อนเก” จำเป็นหรือไม่ที่ต้องดัดฟันเพื่อช่วยให้ฟันเรียงตัวสวย

ปัญหา “ฟันซ้อนเก” จำเป็นหรือไม่ที่ต้องดัดฟันเพื่อช่วยให้ฟันเรียงตัวสวย

ปัญหาฟันซ้อนเก เป็นปัญหาที่หนักอกหนักใจสำหรับหลาย ๆ คนอยู่ใช่ไหมละ ซึ่งลักษณะของฟันที่ซ้อนเกของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป อาจมีทั้งลักษณะเป็นฟันซ้อนกัน ฟันยื่น ฟันเอียง  ทำให้เวลายิ้มออกมาแล้วไม่สวย เกิดความไม่มั่นใจ และยากต่อการทำความสะอาด
บ่งบอกได้เลยว่าปัญหาฟันเกนั้น ส่งผลต่าง ๆ ให้เราเยอะแยะมากมาย ปัญหาเลือดออกตามไรฟันปัญหากลิ่นปาก  การทำทันตกรรมจัดฟันสามารถแก้ไขปัญหาฟันเกได้ มาถึงตรงนี้หลายคนคงกำลังสงสัยว่าการจัดฟันช่วยปัญหาฟันเกได้อย่างไร ดังนั้นวันนี้เราจะมาอธิบายประโยชน์ของการ จัดฟัน สำหรับคนที่มีปัญหาฟันเก กันนะคะแต่ก่อนอื่นเรามาดูกันซิคะว่าฟันเกเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง

1. พันธุกรรม โดยปกติ หากพ่อแม่มีฟันเกลูกมักจะมีฟันเกด้วย ซึ่งก็ไม่เสมอไปเพียงแต่ว่าหากพ่อแม่มีประวัติฟันซ้อนเกมาก ๆ ก็อาจจะถ่ายถอดมาสู่ลูกได้ ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยเห็นลูกที่มีโครงสร้างลักษณะฟันคล้ายพ่อแม่ เป็นต้น
2. โครงสร้างของใบหน้าไม่สมดุล มีความสัมพันธ์ระหว่างขากรรไกรบน กับขากรรไกรล่าง เช่น อาจจะมีอาการฟันล่างครอบฟันบนเป็นต้น 
3. ขนาดของฟันใหญ่เกินไปทำให้การเรียงตัวของฟันในขากรรไกรนั้นทำได้ไม่เป็นระเบียบทำให้ เกิดการซ้อนเก เพราะฟันที่ขึ้นนั้นอาจจะไม่มีพื้นที่บนเหงือกในการขึ้นทำให้มันพยายามเรียงตัวบิดไปมาเพื่อขึ้นได้ทุกซี่ ซึ่งอาจจะต้องแก้ไขโดยการจัดฟันและถอนฟันบางซี่ออกไป
4. ฟันมีขนาดเล็กเดินไปจึงทำให้เกิดฟันห่าง หรือบางครั้งฟันห่างอาจจะเกิดจากการที่ฟันขึ้นไม่ครบก็ได้
5. ฟันขึ้นสลับตำแหน่งกันบนเหงือกซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานนั้นลดลง
6. ขนาดของลิ้นใหญ่มากกว่าปกติ ทำให้ลิ้นดันฟันห่างออกไปมากกว่าปกติ
7. สภาพของกล้ามเนื้อมีแรงเกิดขึ้นขณะพูด กลืน เคี้ยว ทำให้ฟันถูกผลักดันออกไปจากตำแหน่งปกติได้
8. ฟันหน้าห่าง เนื่องจากเยื่อที่ยึดระหว่างฟันหน้าบน 2 ซี่ เกาะต่ำกว่าปกติ
9. ฟันเก อาจพบในคนที่มีความผิดปกติของช่องปาก เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่
10. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมเช่น อุบัติเหตุต่างๆ หรือการจัดฟันแฟชันแล้วนแต่ทำให้เกิดฟันซ้อนเกได้ทั้งนั้น
11. ฟันน้ำนมนั่นหลุดไปเร็วกว่าปกติ จะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ทราบถึงข้อเสียของการที่ฟันน้ำนมหลุดออกเร็ว 
12. ฟันน้ำนมค้างอยู่ในปากมากเกินไป และเมื่อฟันแท้ขึ้นมาจึงทำให้ฟันแท้เกิดซ้อน เมื่อฟันน้ำนมหลุดไปจึงทำให้ฟันนั้นมีลักษณะที่เก
13. ฟันเกที่เกิดจากสุขนิสัยบางอย่างเป็นระยะเวลานานเกินไป เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ
การรักษาอาการฟันเกด้วยการทำทันตกรรมจัดฟันควรทำในช่วงอายุ 9-14 ปี เพราะเป็นระยะที่เหมาะสม เนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร การจัดฟันนั้นจะสามารถจัดฟันได้เร็วและฟันจะเข้าที่ ๆ ต้องการได้ง่ายกว่าที่จะจัดหลังจากกระดูกขากรรไกรและฟันเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

ส่วนการป้องกัน การป้องกันจากสาเหตุทางกรรมพันธุ์นั้นป้องกันไม่ได้ แต่ฟันเกที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมจะป้องกันได้ผู้ปกครองมีส่วนช่วยได้อย่างมาก โดยช่วยดูแลสุขภาพของฟันเด็ก อย่าให้ฟันถูกถอนไปก่อนกำหนดและควรสนใจหาความรู้ในการป้องกันโรคฟัน หากคุณกำลังเป็นคนที่มีปัญหาฟันเกและคิดว่าปัญหาฟันเกจะทำให้คุณหมดความมั่นใจ ผมขอแนะนำว่าการจัดฟันเป็นทางเลือกแรก ๆ ที่คุณควรมองหาเลยนะ เพราะว่าการรักษานั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ในระยะยาว ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะดูสูงไปนิดหน่อยแต่รับรองได้เลยว่าผลประโยชน์ที่ได้จากการจัดฟันเพียงครั้งเดียวจะคุ้มค่าแก่เงินทุกบาทที่คุณเสียไปในค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน

ไวน์แดงสมุนไพรเพื่อสุขภาพฟัน

การดื่มไวน์แดงวันละ 1 แก้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าดีต่อสุขภาพฟัน ซึ่งงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าไวน์แดงช่วยป้องกัน และต่อต้านโรคหัวใจ และการก่อตัวของมะเร็งได้ แต่งานวิจัยล่าสุดพบว่าสารเคมีที่พบในเมล็ดองุ่น และผิวขององุ่นที่บ่มเพื่อทำไวน์แดงนั้นมีสารที่สามารถต่อต้านแบคทีเรียที่เรียกว่า สเตปโตคอคคัส มิวแตน (streptococcus mutans) ที่อยู่บนผิวฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุ 

ไวน์แดงสมุนไพรเพื่อสุขภาพฟันจากผลการทดสอบโดยให้กลุ่มตัวอย่างดื่มไวน์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม พบว่าแบคทีเรียไม่สามารถเกาะยึดกับผนัง หรือแม้แต่ในน้ำลายได้เมื่อมันพบกับไวน์แดง นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า สารประกอบที่ทำปฏิกิริยาดังกล่าวสามารถพบได้ในผิวองุ่นขณะนี้พวกเขากำลังศึกษาเพิ่มเติมเพื่อค้นหาว่า สารประกอบดังกล่าวสามารถสกัดออกมาใช้ได้หรือไม่ มีงานวิจัยมากอีกหลาย ๆ มหาวิทยาลัยที่ค้นคว้าเกี่ยวกับไวน์แดง อาทิ มหาวิทยาลับพาเวียร์ (The Pavia University) พบว่า ไวน์แดงสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อต้านโรคเบาหวาน และ ความอ้วน และต่อต้านริ้วรอยได้ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย พบว่า การดื่มไวน์แดงในปริมาณไม่มากนัก มีความฉลาดทางอารมณ์มากกว่ากลุ่มผู้ที่ไม่ดื่มเลย ซึ่งอาจเกิดจากการที่ไวน์เข้าไปเพิ่มการทำงานของระบบเลือดในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลท (King’s College) พบว่าสารเคมีในไวน์แดงอาจสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามการดื่มไวน์ในปริมาณสูงก็มีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตับได้เช่นกันนะค่ะ ควรดื่มเพื่อเป็นยารักษาโรคไม่ควรดื่มเกินขนาดนะค่ะ

สมุนไพรกับการดูแลสุขภาพฟัน

เรื่องสุขภาพฟันของเรานั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับตัวเรา เนื่องจากฟันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เราใช้สำหรับการเคี้ยวอาหาร อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการรับประทานอาหารให้มีรสชาติที่ดีอีกด้วย ดังนั้นเรื่องสุขภาพฟันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรที่จะมีการดูแลเป็นอย่างดีเลยนะคะ
สมุนไพรกับการดูแลสุขภาพฟันซึ่งการดูแลสุขภาพฟันของเรานั้นมีหลากหลายวิธี ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำการดูแลสุขภาพของฟันด้วยการใช้สมุนไพรที่เราสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วๆไป อีกทั้งยังง่ายต่อการใช้งานอีกด้วยค่ะ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

สมุนไพรน้ำมันมะพร้าว เป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่สามารถหาได้ทั่วๆไป โดยเราจะนำเอาน้ำมันมะพร้าวนั้นมาเพื่อทำการบำรุงสุขภาพฟันของเรา โดยการนำเอาน้ำมันมะพร้าวนั้นมาอมหรือปากบ้วน หรือไม่ก็นำเอาน้ำมันมะพร้าวนั้นมาใช้ในการแปรงฟันก็ได้ค่ะ เพราะจะทำให้สุขภาพฟันของเรานั้นแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

สมุนไพรใบข่อย สมุนไพรชนิดนี้นับเป็นว่าสมุนไพรที่สามารถดูแลเรื่องสุขภาพฟันของเราได้เป็นอย่างดีทีเดียว โดยเราจะเอาในส่วนของก้านข่อยนั้นมาทำการเคี้ยวเพื่อทำความสะอาดในส่วนของฟันบริเวณร่องเหงือกและร่องระหว่างฟันค่ะ

สมุนไพรใบพลู เราจะนิยมนำเอาใบพลูนั้นมาทำการเคี้ยวเหมือนหมากฝรั่ง เพื่อให้ใบพลูนั้นเข้าไปทำความสะอาดฟันให้สะอาด อีกทั้งสุขภาพฟันยังแข็งแรงอีกด้วยนะค่ะ นอกจากนั้นยังเป็นยาดีที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้แบคทีเรียนั้นเข้าไปสะสมในช่องปาก และทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วยค่ะ

อาหาร เสริม สุขภาพฟัน

                          อาหาร เสริม สุขภาพฟัน


ถ้าพูดถึงเรื่องของอาหาร และสุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน เพราะการผ่านอาหารเข้าสู่ร่างกาย อันดับแรก คือ ผ่านจากช่องปาก และเป็นการย่อยอาหารในชั้นแรกๆ ด้วย หากการย่อยเป็นไปอย่างไม่สมบูรณ์ ย่อมเกิดผลเสียต่อร่างกายแน่นอน

ฟัน ถือว่าเป็นอวัยวะ ที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย แต่ก็ยังเกิดการผุกร่อน เสื่อมไปตามสภาพได้ เพราะการกินอาหารไม่ถูกต้อง ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เมื่อฟันซึ่งเป็นส่วนที่แข็งแรง แต่ก็ยังเสื่อมโทรม ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่อ่อนแอกว่า ก็จะต้องเสื่อมโทรมไปได้ด้วยเช่นกัน การที่ฟันเสีย หรือเหงือกบวมนั้น ต้องใช้เวลานานกว่าจะแสดงอาการ แต่ถ้าเรากินอาหารให้ถูกต้อง และดูแลสุขภาพฟันให้ดี ตั้งแต่เริ่มแรก และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เราก็ไม่ต้องเสียเวลาทำฟัน รักษาฟัน รักษาเหงือกที่แสนจะแพง

สิ่งที่จะมาเสริมสร้างความแข็งแรงของฟันได้ นอกจากจะต้องดูแลรักษาให้ถูกต้องแล้ว ยังจะต้องรู้จักการกินอาหารอีกด้วย สารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมทั้งวิตามินด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวประกอบให้ฟันเราแข็งแรง และถ้ากินอาหารที่ให้สารอาหารประเภทนี้ไม่พอ ฟันเราก็จะเสียง่าย

โดยปกติแล้ว ถ้าเรากินอาหารครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ฟอสฟอรัสเพียงพอ จากการกินอาหาร แต่ปัญหาอยู่ที่แคลเซียม ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ ไม่ได้มีแคลเซียมเสมอไป ร่างกายเราจึงมักขาด โดยเฉพาะเด็กนั้นต้องการมากเป็น 2 เท่าของผู้ใหญ่

อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมมาก ก็คือ น้ำนม เนยแข็ง รองลงมาก็ได้แก่ ผักประเภทกะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง ผักโขม ตำลึง ใบมะกรูด ใบกระเพาขาว ใบแค ใบบัวบก ใบยอ ใบชะพลู ใบแมงลัก ผักกาดขาว ไข่แดง ปลา ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก กุ้งแห้ง อาหารที่พอจะมีแคลเซียมอยู่บ้างก็เช่น สับปะรด เชอร์รี่ องุ่นแห้ง เห็ด กล้วย ถั่วฝักยาว ถั่วเมล็ดแห้ง งา ปลาร้า

มีแพทย์หรือหมอฟันหลายราย มักพูดกันเสมอว่า การรักษาโรคฟันนั้น รักษาง่ายกว่าโรคเหงือก เพราะเหงือกเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน มีหน้าที่หุ้มรากฟัน การที่เหงือกจะสวยไม่คล้ำหรือซีด อาหารแต่ละวันควรกินผลไม้สด ผักสด ซึ่งหากินได้ไม่ยากในบ้านเรา เช่น ส้มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มจุก ส้มโอ ประเภทอื่นก็เช่น มะนาว มะเขือเทศ มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด กระหล่ำปลี แต่วิตามินซีจะถูกทำลายได้ง่าย และจะสูญเสียไป เมื่อปรุงเป็นอาหาร หรือแม้แต่การหั่นซอย และการทิ้งไว้ให้เหี่ยว มันก็จะสูญไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเลือกกินอาหารที่สดใหม่ ถ้าซอยหรือหั่นแล้วแช่น้ำ วิตามินซีก็จะสูญสลายไปด้วย

ดังนั้นเราควรเริ่มดูแลฟัน และเหงือกเสียแต่วันนี้ เพราะเราต้องใช้ฟันขบเคี้ยวอาหารตลอดเวลา หากฟันและเหงือก ไม่สมบูรณ์แข็งแรง เราอาจจะต้องเสียค่ารักษา ที่แพงมากกว่าอาหารแต่ละมื้อ และทุกข์ทรมานด้วย

เคล็ดลับ 7 ข้อ 7 อย่าง การดูแลฟัน


วิธีการป้องกันฟันผุนะคะ  

การรักษาสุขอนามัยของช่องปากนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในทุกเพศทุกวัย เพราะถ้าสุขภาพภายในช่องปากดีจะทําให้การเกิดฟันผุได้น้อยลง ซึ่งสุขภาพภายในช่องปากจะรวมทั้งการป้องกันการเกิดเหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปากอักเสบเรื้อรัง กระดูกที่เป็นเบ่าฟันต้องแข็งแรงและ การแปรงฟันที่ถูกวิธี ส่วนความสัมพันธ์ของอาหาร ที่จะมีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุนั้น พบว่ามีผลโดยอ้อม เพราะเมื่อร่างกาย ขาดสารอาหารเกิดภาวะทุพโภชนาการจะมีผลต่อภาวะภูมิคุ่มกันของโรคต่ําลง การอักเสบของเนื้อเยื่อจะเกิดได้ง่ายกว่าปกติ จนมีคํากล่าวไว้ว่า“สิ่งที่ดีที่สุดของการรักษาสุขภาพช่องปากมิได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่กินเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับการขจัดคราบที่เกาะที่เรียกว่า พลาค (plaque) ด้วยวิธีแปรงฟันที่ถูกวิธี”ด้วยเช่นกัน
เมื่อทําความเข้าใจถึงการเกิดภาวะฟันผุแล้วอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าการกินอาหารไม่จําเป็นต้องงดอาหารแป้งและน้ําตาลเลยเสียทีเดียว แต่ควรกินอาหารให้ได้สัดส่วนและควรลดการส่งเสริมการเกิดภาวะฟันผุนั่นเองช่วงสุดท้ายของทางรายการจะขอทิ้งทายกันที่เคล็ดลับฟันดี กันนะคะ คิดว่าใครๆก็อยากมีสุขภาพฟันที่ดีกันทั้งนั้นละค่ะ
เคล็ดลับ 7 ข้อ 7 อย่าง ง่ายๆมาฝากกันคะเริ่มกันที่ข้อแรกกันเขาบอกว่า
1. ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ําตาลสูง รวมทั้งลูกอม ลูกกวาด ของหวานที่รสหวานจัดทั้งหลาย
2. กินผลไม้และผักสดที่มีเนื้อและเส้นใยแข็งบ้ง เพื่อช่วยขจัดคราบเศษอาหารแทนการกินขนมหวานต่าง ๆ
3. เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีความสมดุลของอาหารที่พอเหมาะไม่ว่าจะเป็นแป้ง ข้าว เนื้อสัตว์ ไขมัน ผัก ผลไม้
4. กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ควรกินจุบกินจิก เพราะโอกาสเกิดกรดในช่องปากมีมากขึ้น
5. เสริมความแข็งแรงของฟันโดยการให้ฟลูออไรด์ในเด็ก
6. แปรงฟันให้ถูกวิธีและปฏิบัติจนเป็นกิจวัตรอย่างน้อยวันละ2 ครั้ง
7. ควรตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน

ทันตกรรมประดิษฐ์…คืออะไร ??

ทันตกรรมประดิษฐ์ คือศาสตร์แขนงหนึ่งที่ช่วยในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป หรือช่วยในการแก้ไขปัญหาฟันที่เปราะบางหรือแตกหักไป ซึ่งมีวิธีการต่างๆ ดังนี้
ครอบฟัน  ครอบฟันมีลักษณะทันตกรรมประดิษฐ์ที่ทำแล้วเหมือนฟันธรรมชาติ ใช้วิธีครอบลงไปบนฟันจริง เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง ปรับปรุงรูปร่างและสีของฟันให้มีความสวยงามขึ้น ใช้เป็นตัวยึดสะพานฟัน และใช้เพื่อครอบบนรากฟันเทียมด้วย
สะพานฟัน การทำทันตกรรมสะพานฟันเป็นอีกวิธีการหนึ่งทางทันตกรรมที่ช่วยในการทดแทนฟันที่สูญเสียไปแบบติดแน่นถาวร ด้วยวิธีการติดยึดครอบฟันบนฟันซี่ข้างเคียงและเชื่อมต่อด้วยฟันปลอมระหว่างช่องว่างที่ครอบฟัน ซึ่งจะใช้ฟันปลอมทดแทนฟันที่สูญเสียไป
การปลูกรากฟันเทียม การปลูกรากฟันเทียมเป็นทันตกรรมประดิษฐ์วิธีหนึ่งที่เป็นวิธีสมัยใหม่ในการแทนที่รากฟันจริงตามธรรมชาติ  ซึ่งทันตแพทย์จะทำการฝังรากฟันเทียมลงบนกระดูกรองรับฟัน ซึ่งจะสามารถสร้างพื้นฐานที่มีความมั่นคงให้แก่ฟันที่นำมาทดแทนฟันที่สูญเสียไปได้
ฟันปลอม  การทำทันตกรรมฟันปลอมเป็นการทดแทนฟันในแบบที่สามารถถอดออกได้ โดยทั่วไปแล้วฐานฟันปลอมจะสามารถทำได้ด้วยพลาสติกหรือโลหะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการด้วยว่าต้องการฟันปลอมแบบใด
ประโยชน์ของการทำทันตกรรมประดิษฐ์ในการทดแทนฟันที่สูญเสียไปมีดังนี้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์นั้นจะช่วยป้องกันการเคลื่อนหรือล้มของฟันซี่ข้างเคียงได้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์สามารถช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาของการถูกทำลายของเนื้อเยื่อโดยรอบได้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์จะช่วยลดปัญหาความยุ่งยากในการทำความสะอาดฟัน ฟันผุ และโรคเหงือก เนื่องจากฟันล้มหรือฟันเคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่ว่างได้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์จะช่วยเสริมสร้างบุคลิกและรอยยิ้มที่สวยงามของคุณได้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์นั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารได้
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์นั้นอาจจะสามารถช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการพูดได้ด้วย
  การทำทันตกรรมประดิษฐ์สามารถช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาของรูปหน้าเนื่องจากการสูญเสียฟันไปได้